เหตุใดพิธีบัพติศมาจึงสำคัญยิ่ง
เราต้องทำอย่างไรจึงจะรอดได้
Why
baptism really matters
ไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดคนสมัยนี้จึงมักกล่าวว่า “จะไปรับพิธีล้างบาปให้ยุ่งยากทำไมกัน
มันก็แค่พิธีกรรมไม่ใช่เหรอ ก็แค่ให้พระในวัดเอาน้ำเสกสองสามหยดมาพรมใส่หัวเด็กทารก
ก็คือการอาบน้ำนั่นแหละ จะต่างอะไรกันมากมาย เสียเวลาเปล่าๆ”
คำตอบอย่างสั้นก็คือ พระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวถึงพิธีบัพติศมาไว้มากมาย
ทั้งจากพระโอษฐ์ของพระเยซูเองและจากคำพูดของอัครสาวกของพระองค์ ข้อเท็จจริงในขณะนี้ก็คือ
พระคัมภีร์คือแหล่งอ้างอิงเดียวที่เรามี หากเราต้องการจะทราบว่าพระเยซูคือใคร
ทรงสอนอะไรและทรงบัญชาให้เหล่าผู้ติดตามทั้งหลายทำสิ่งใด
เราต้องย้อนกลับไปดูพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อหาคำตอบ
การหาข้อมูลจากแหล่งอื่นถือเป็นการอาศัยความเห็นของมนุษย์
ไม่ว่าจะรายบุคคลหรือกลุ่มคนในสภาสงฆ์หรือสภาท้องถิ่น
สิ่งที่พระคัมภีร์บอกเราเกี่ยวกับพิธีบัพติศนั้นต้องสำคัญต่อเราจริงๆ หากพระคริสต์และอัครสาวกที่พระองค์ทรงเลือกไว้ได้ประกาศบางสิ่งเกี่ยวกับการบัพติศมาไว้จริง
เราก็ควรจะอยากทราบว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
คำถามที่สำคัญมากคงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า เหตุใดพระเยซูจึงทรงสั่งและสอน แล้วอัครสาวกทั้งหลายยอมกระทำตามในเรื่องใดบ้าง
“เกิดจากน้ำ”
พระเยซูตรัสกับนิโคเดมัส
ผู้นำชาวยิวที่มาหาพระองค์ในยามค่ำคืนว่า “ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่{หรือจากเบื้องบน} ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้”
เมื่อนิโคเดมัสเอาคำที่พระเยซูตรัสบอกไปคิดตามตัวอักษร พระเยซูจึงทรงอธิบายต่อด้วยว่า
“ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” (ยอห์น 3:3, 5)
แต่เหตุใดพระองค์จึงตรัสว่า “ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำ...” ถ้าหากพระองค์มิได้หมายความถึงพิธีบัพติศมา
ท่านยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาออกเทศน์อย่างแข็งขันให้เราสำนึกบาปและท่านได้ให้บัพติศมาแก่คนมากมายในแม่น้ำจอร์แดน
พระเยซูเองก็ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นผู้นี้ พระองค์ตรัสว่า “แต่พระเยซูตรัสตอบยอห์นว่าบัดนี้จงยอมเถิดเพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ”
(มัทธิว 3:15, R.S.V.) ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามื่อพระเยซูตรัสว่า
“ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำ...”
พระองค์ทรงพยายามจะบอกว่าถ้าจะเข้าไปในพระอาณาจักรของพระเจ้า
ทั้งชายและหญิงจะต้องรับบัพติศมาเสียก่อน
ถ้อยคำนี้ได้รับการย้ำอีกครั้งโดยพระบัญชาของพระเยซูที่ทรงตรัสกับสาวกของพระองค์
ขณะที่พระองค์กำลังจะจากพวกเขาขึ้นสวรรค์ :
“เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเราให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้” (มัทธิว
28:19-20)
งานที่อัครสาวกต้องทำหลังจากการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูก็คือพันธกิจแห่งการสั่งสอนซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการให้บัพติศมาด้วย
อัครสาวกทำอะไร
แต่อัครสาวกตีความการสั่งสอนเหล่านี้ว่าอย่างไรในแง่ปฏิบัติ
รายละเอียดของสิ่งต่างๆที่พวกเขาได้ทำในหนังสือพระธรรมกิจการของอัครสาวกนับว่ามีคุณค่ามาก
เราจะศึกษาพระธรรมนี้สักเล็กน้อย
กิจการ 2:36-38 เปโตรบอกกับประชาชนในกรุงเยรูซาเล็มว่าพวกเขาได้ตรึงพระเยซู
“ผู้เป็นพระเจ้าและองค์พระคริสต์”
เสียแล้ว พวกนั้นพากันขวัญเสีย ต่างถามกันว่า “เราจะทำอย่างไรดี”
เปโตรก็ตอบไปตรงๆว่า
“จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา{พิธีใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาป}ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน
เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสียแล้ว”
กิจการ
“คนทั้งหลายที่รับคำของเปโตรก็รับบัพติศมาในวันนั้น…”
กิจการ
“แต่เมื่อฟีลิปได้ประกาศข่าวประเสริฐว่าด้วยแผ่นดินของพระเจ้าและพระนามแห่งพระเยซูคริสต์แล้วคนทั้งหลายก็เชื่อและรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง..”
กิจการ
กิจการ
กิจการ 16:14-15 ลิเดีย “เป็นคนที่ถือพระเจ้า”
สนใจที่เปาโลเทศนาและ “ได้รับบัพติศมา…”
กิจการ 16:30-33 นายคุกชาวฟิลิปปีได้ยินเปาโลเทศนาอยู่ในเมือง
จึงร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรอดได้”
เปาโลและสิลาส “จึงกล่าวสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าให้นายคุก”
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ “นายคุกก็ได้รับบัพติศมา”
กิจการ 18:25-26 เปาโลได้พบผู้เชื่อจำนวนหนึ่งที่เมืองเอเฟซัส
ซึ่งรู้จักเพียงแค่การให้บัพติศมาของท่านยอห์น(ผู้ให้รับบัพติศมา)
เปาโลจึงอธิบายแก่พวกเขาว่า
“ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู
เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นเขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า”
โครเนลิอัส
ในกรณีของโครเนลิอัส (กิจการบทที่ 10)
อยู่สุดท้ายในรายการนี้ เพราะเรื่องของเขามีลักษณะพิเศษบางประการซึ่งมีความน่าสนใจมากสำหรับคนในปัจจุบัน
เขาเป็นทหารโรมันผู้ที่ได้มารู้จักและนมัสการพระเจ้าของอิสราเอล “ทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า
ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชนและอธิษฐานพระเจ้าเสมอ” (ข้อ 2)
ช่างเป็นคนที่น่าชื่นชมอะไรอย่างนี้ ผู้ที่นมัสการพระเจ้า
คนที่ดีทั้งทางโลกและทางธรรม แน่ละว่าเขาคงไม่เรียกร้องอะไรมากมาย
แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าเขาเรียกร้องบางสิ่ง อัครสาวกเปโตรได้รับคำสั่งให้ไปหาเขาและสอนเขาให้รู้ถึง
“ถ้อยคำซึ่งจะให้ท่านกับครอบครัวของท่านรอด” (
ตอนนี้เปโตรเริ่มลังเลใจที่จะไปทำงานที่ได้รับมอบหมายมานี้
เช่นเดียวกับสหายชาวยิวของเขาที่มีอคติต่อการรับคนต่างชาติมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกายเดียวกันของผู้เชื่อ
พระเจ้าทรงโต้แย้งเปโตรโดยให้เขาเห็นภาพนิมิตร (ข้อ 9-15)
ทรงสอนเขาว่า เขาไม่ควรจะเรียกสิ่งใดว่าเป็นมลทินในเมื่อพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว
เมื่อโครเนลิอัสเชื่อถ้อยคำของเปโตร
พระเจ้าทรงประทานหมายสำคัญอีกอย่างเพื่อให้พวกยิวเปลี่ยนความคิด กล่าวคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตย์กับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น” (ข้อ 44) เรื่องนี้เป็นที่น่าตกใจสำหรับคนยิวเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนี่เป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งหมายจะให้พวกเขาเชื่อว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะรับพวกต่างชาติให้มาร่วมเชื่อในพระองค์ด้วย
ปฏิกริยาของเปโตรนั้นสอนพวกเขาได้เป็นอย่างดี
“ใครอาจจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเราโดยมิให้เขารับบัพติศมาด้วยน้ำได้
เปโตรจึงสั่งให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์” (ข้อ 47-48)
โปรดสังเกตข้อเท็จจริงที่น่าตกใจที่ว่า
แม้โครเนลิอัสและครอบครัวเพิ่งจะได้รับของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปโตรก็ยัง “สั่ง” พวกเขาให้รับบัพติศมา
จะมีหลักฐานที่น่าประทับใจอะไรมาพิสูจน์เรื่องความจำเป็นที่จะต้องรับบัพติศมาอีกหรือไม่
ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าการบัพติศมามิใช่เป็นแค่การชำระผิวกาย
แต่เป็นขั้นตอนที่มีความหมายในกระบวนการแห่งการช่วยให้รอด
เราจะรอดได้อย่างไร
หากพิจารณาอย่างผิวเผิน
ปัญหานี้ดูท่าจะแก้ไม่ตก เพราะเห็นได้ชัดว่าอุปสรรคใหญ่ที่คอยขวางอยู่ คือ ความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของชายและหญิง
ที่จะใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าทรงหวังไว้ พระคัมภีร์เรียกความล้มเหลวนี้ว่า “บาป” มันเป็นคำที่เราไม่อาจจะมองข้ามไปได้เพียงเพราะมันไม่เป็นที่นิยมหรือเพราะเราไม่ชอบมัน
พระเจ้าทรงใช้คำนี้ด้วยพระองค์เองเมื่อตรัสถึงความล้มเหลวของมนุษย์ ในพระธรรมเดิมผู้เผยพระวจนะของพระองค์ก็ใช้คำนี้เมื่อกล่าวถึงการล่วงละเมิดของอิสราเอล
ในพระธรรมใหม่พระเยซูก็ทรงใช้คำนี้และอัครสาวกของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน
ข้อเท็จจริงเรื่องความบาปของมนุษย์นั้นปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในสารที่พระเจ้าทรงฝากไว้ให้เรา
ว่าเราไม่สามารถจะปัดมันออกเหมือนปัดฝุ่นที่ติดเสื้อได้
แล้วบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมพระเจ้าทรงถือเอาเรื่องความบาปนี้เป็นเรื่องจริงจัง
ยิ่งไปกว่านั้น
พระองค์ทรงประทานหนทางหนึ่งไว้ให้ เพื่อใช้กำจัดความบาปของมนุษย์
อันเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อ “การทรงไถ่ของพระเจ้า”
เพื่อที่ว่าคนที่ได้ยินและเชื่อฟังคำของพระองค์จะได้รับการชำระ พระองค์ทรงเริ่มหนทางดังกล่าวโดยให้พระบุตรของพระองค์
คือ
พระเยซูมาบังเกิดกับนางมารีย์ผู้เป็นหญิงสาวชาวยิวในเมืองนาซาเร็ธโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์
ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ปรากฏอย่างชัดเจนอยู่ในพระธรรมลูกา ว่าดังนี้
“ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอและฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอเหตุฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมานั้นจะได้เรียกว่าวิสุทธิ์และเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า” (
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์มาบังเกิดจากมารดาผู้เป็นมนุษย์ถูกแสดงไว้ในคำพูดของทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่มีต่อโยเซฟว่า
“เจ้าจงเรียกนามท่านว่าเยซูเพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา”
(มัทธิว
มรณะกรรมของพระเยซู
แล้วการกระทำเช่นนั้นของพระเจ้าจะ “ช่วยให้รอดจากบาป”
ได้อย่างไรกัน คำตอบที่น่าอัศจรรย์ของคำถามนี้ปรากฏอยู่ในชีวิตและบทบาทของพระเยซู
และท้ายที่สุดก็คือความตายของพระองค์บนไม้กางเขน สำหรับชีวิตของพระเยซูเจ้า
เห็นได้ชัดว่าพระธรรมชาติของพระองค์เป็นเหมือนเราทุกอย่าง
เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พระองค์จะมีพระธรรมชาติเดียวกันกับพระมารดาของพระองค์
คือกายเนื้อ พระธรรมฮีบรูบอกเราว่าพระองค์ทรงเป็นเหมือนเราคือ มี “เลือดเนื้อ” (
“เพราะเหตุที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานและถูกลองใจ...ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (
พูดง่ายๆก็คือพระเยซูทรงต้องพบเจอกับความปรารถนาที่ปุถุชนต้องพบเจอ
พระองค์ต้องรู้สึกกดดัน เพราะต้องสู้กับความต้องการตามประสาเนื้อหนังที่รักสบาย
ตามความพอใจที่ร่างกายใฝ่หา พระองค์ต้องสู้กับทิฐิของตัวเอง ความปรารถนาที่จะร่ำรวยและมีอำนาจ
แต่ที่ต่างจากคนอื่นๆที่เคยมีชีวิตมาก่อนหน้านี้
พระองค์มิได้ทรงยอมแพ้ต่อความปรารถนาทางกายเหล่านั้น
พระองค์ทรงปฏิเสธพวกมันและเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความสัตย์ซื่อเสมอมา
เรื่องนี้มีความสำคัญมาก
เพราะนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถเอาชนะบาปได้ชนิดถอนรากถอนโคนจากส่วนลึกในสันดานของมนุษย์เลยทีเดียว
สิ่งที่มนุษย์ทั้งชายหญิงทำไม่สำเร็จ พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จผ่านทางพระคริสต์แล้ว
เมื่อปราศจากบาปแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ
พระเยซูทรงถวายพระองค์เองเป็น “พระเมษโปดก {คำศัพท์แปลว่าลูกแกะ} ของพระเจ้าผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29,
R.S.V.) พูดอีกอย่างก็คือ
พระองค์ทรงยอมตายบนกางเขนเพื่อเป็นเครื่องไถ่บาปให้เรา
ในฐานะที่ทรงเป็นตัวแทนมนุษยชาติ
พระองค์ทรงรักษาการพิพากษาอันยุติธรรมของพระเจ้าไว้และ “ประณามความบาป” ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงประณามความบาปในธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งปกติแล้วเราจะยอมแพ้ราบคาบต่อมัน
“ในเนื้อหนัง” ด้วยหนทางนี้พระองค์มอบชีวิตของพระองค์เป็น
“เครื่องบูชาไถ่คนจากบาป” (โรม
8:3) น่าอัศจรรย์ใจ เพราะพระเยซูทรงปราศจากบาป
พระเจ้าจึงสามารถชุบให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตายสู่ชีวิตใหม่ที่เป็นอมตะและทรงฤทธิ์ได้อย่างเป็นธรรม
ทุกคนก็เหมือนกัน
มันจะช่วยเราได้อย่างไร เราไม่ได้มีชีวิตที่ดีประเสริฐและไม่มีหวังที่จะเป็นไปได้
ตราบเท่าที่เรายังต้องอยู่ในเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยบาปนี้
เงื่อนไขของพระเจ้า
คำตอบมิใช่เป็นเรื่องของสิ่งมหัศจรรย์ใดๆ
พระเจ้าจะไม่ “เปลี่ยนเรา”
ทันทีทันใด เพียงเพราะเราพูดว่าเราเชื่อในตัวพระบุตรของพระองค์
และพระองค์จะไม่มองว่าเราเป็นพวกที่ปราศจากบาปด้วยเพียงเพราะเห็นแก่การยอมตายของพระบุตร
ที่พระเจ้าทรงยกโทษบาปให้ก็เพราะพระองค์ทรงเมตตาและทรงพระคุณยกบาปให้
แต่ยังมีเงื่อนไขอยู่บางประการ
เงื่อนไขหลักก็คือ
ชายหญิงที่เข้ามาหาพระองค์ทางพระเยซูต้องยอมรับความจริงเกี่ยวกับตัวพวกเขา และต้องมองว่าความตายของพระเยซูบนไม้กางเขนนั้นเป็นการไถ่โทษอันใหญ่หลวงเพราะความบาปที่ตัวเขาทำ
พวกเขาต้องพยายามใช้ชีวิตโดยปฏิเสธความต้องการของตัวเอง
แต่อยู่โดยเจตนารมณ์ของพระเยซูคือใน “พระคุณและความจริง”
แล้วพระเจ้าจะ
“ทรงยกโทษความผิดแก่เรา” และจะต้อนรับเราสู่ความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์เอง
ด้วยหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์จะสามารถดูแลเราอย่างกับ “บุตรชายและบุตรสาว” ของพระองค์ได้
คือเป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์ ซึ่งมีพระเยซู
พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เป็นศีรษะ
การสำนึกบาปและการกลับใจมาเชื่อพระเจ้า
ตอนนี้เรารู้จักคำสองคำในพระคัมภีร์ดีขึ้นแล้ว
ซึ่งพบได้ในคำขอร้องของอัครสาวกเปโตร ถึงชาวเยรูซาเล็มไม่นานหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว
คือ
“เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย
เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า”
(กิจการ3:19)
ช่างน่าเสียดายที่คำสำคัญสองคำนี้
คือ “การสำนึกบาป” และ “การกลับใจมาเชื่อพระเจ้า” ถูกใช้อย่างผิดๆในสมัยใหม่
การสำนึกบาปที่แท้จริงหมายถึง “การเปลี่ยนความคิดใหม่” นั่นคือเรื่องของความเข้าใจ
เมื่อเราถามว่า “แล้วเป็นการเปลี่ยนความคิดเรื่องอะไรละ” คำตอบจึงกระจ่างขึ้นจากสิ่งที่เราได้พิจารณาไปแล้ว
มันเป็นการเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวเราเอง เป็นความเข้าใจถึงความล้มเหลวในการใช้ชีวิต
ให้ได้ตามมาตราฐานที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้ให้เรา ผ่านคำทางศาสนศาสตร์สองคำ คือ
พวกเราเป็นคนบาป จากนั้นจึงกระทำตามพระบัญชาที่ว่า “จงกลับใจมาเชื่อพระเจ้า”
ซึ่งหมายความว่า “หันหลังแล้วเดินกลับ” นี่คือผลในทางปฏิบัติของการสำนึกบาปที่แท้จริง
มันคือการตระหนักว่าเราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทิศทางชีวิตเสียใหม่ โดยใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าและพระบัญชาของพระคริสต์มากขึ้น
แต่เปโตรก้าวไปอีกขั้นเมื่อสาสน์ของท่านถึงชาวเมืองเยรูซาเล็ม
“จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา{พิธีใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาป}ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน
เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย”
(กิจการ
เหตุผลที่เปโตรได้เพิ่มคำสั่งเรื่องบัพติศมาเข้าไปด้วยดูจะกระจ่างขึ้น
เมื่อเรารู้ว่าในสมัยของพระเยซูและอัครสาวกนั้น การให้บัพติศมาจะกระทำโดยการให้ร่างกายทั้งหมดจมลงไปในน้ำ
ความหมายที่แท้จริงได้รับการอธิบายโดยอัครสาวกเปาโลในจดหมายถึงชาวโรมัน
ท่านกล่าวว่า“ท่านไม่รู้หรือ…
“ว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์
ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์ เหตุฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว
โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น” (6:3-4 ,
R.V.)
หรือที่ท่านเขียนไปถึงชาวเมืองโคโลสีว่า
“และได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมาแล้ว…” (2:12)
แต่แน่นอนว่ามีแต่คนตายเท่านั้นที่ถูกฝัง
ไม่ใช่คนที่ยังมีลมหายใจ นั่นคือสิ่งที่เปาโลพูดต่ออย่างไม่ผิดเพี้ยน
ท่านได้เตือนผู้เชื่อชาวเมืองโคโลสีถึงธรรมชาติของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะมาเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า
“และท่านที่ตายแล้วด้วยการละเมิดทั้งหลายของท่านและด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต...” (ข้อ 13)
ถูกฝังไว้...และถูกชุบให้เป็นขึ้น
ความหมายนั้นก็ชัดเจน
พวกเขาไม่ต่างจากตายแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะความต้องการตามธรรมชาติ
ของเนื้อหนังพวกเขาไม่ได้ถูกควบคุมเลย
พวกเขา “ไม่มีความหวัง” และโอกาส
มีแต่ความตายที่รออยู่ พวกเขาต้องตระหนักถึงความจริงเกี่ยวกับตัวเขาเองข้อนี้
แล้วดำลงไปในน้ำในขณะที่รับบัพติศมา ดั่งจมดิ่งลงสู่ความตายของพวกเขา
โดยระลึกว่าการพิพากษาของพระเจ้าต่อความบาปนั้นเที่ยงธรรม
และแน่นอนว่าพวกเขาสามารถขึ้นจากน้ำอีกครั้งพร้อมด้วยเป้าหมายใหม่ในชีวิต
“…เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย
โดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน” (โรม 6:4)
หรืออย่างที่ท่านได้เสริมให้ชาวโคโลสีฟังว่า
“และ(เมื่อท่าน)ได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมาแล้ว
และในพิธีนั้นท่านได้ฟื้นขึ้นมาจากตายกับพระองค์…” (2:12)
การเปรียบเทียบนั้นก็ชัดเจน
เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายสู่ชีวิตแบบใหม่ เป็นพระธรรมชาติที่เป็นอมตะ
ดังนั้นผู้เชื่อในพระองค์ก็จะขึ้นจากน้ำแห่งบัพติศมาสู่ชีวิตใหม่เช่นกัน ผู้เชื่อคนนั้นยังคงมีธรรมชาติเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
แต่ทัศนคติของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาตระหนักแล้วว่าถ้าเขายังใช้ชีวิตเพื่อสนองความต้องการตามธรรมชาติของตัวเองเรื่อยไป
เขาจะต้องจบลงที่ความตายนิรันดร์ แต่ตอนนี้เขาได้มีจุดมุ่งหมายใหม่แล้ว นั่นคือ
พระประสงค์ของพระเจ้าและพระบัญญัติของพระคริสต์
นั่นคือสิ่งที่พระเยซูกล่าวถึงเมื่อพระองค์ตรัสกับนิโคเดมัสว่า
“ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่” (ยอห์น
3:7)
อัครสาวกเปาโลช่วยอธิบายว่าการเกิดใหม่ในทางปฏิบัติเป็นอย่างไร
“เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน
ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น
เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้” (โรม 6:12,
14)
กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า
คุณต้องไม่ยอมให้ความปรารถนาตามธรรมชาติของคุณเข้าครอบงำคุณและเอาตัวคุณเป็นทาส
แต่ท่านกลับกล่าวว่า
“จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าเหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว...” (ข้อ 13)
ดังนั้นผู้เชื่อที่มีความจริงใจจะต้องเปลี่ยนนายของเขาเสีย
เพราะเขาได้ “เปลี่ยนใจแล้ว”
ซึ่งก็คือการกลับใจในความหมายของพระคัมภีร์นั่นเอง
เขามีชีวิตใหม่เพราะเขามีมุมมองใหม่ นี่แหละคือการที่เขาได้ “บังเกิดใหม่” อัครสาวกแสดงให้เห็นว่านี่คือการเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งต่างไปเลย
“ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่านซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย...
และจงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่...และให้ท่านสวมสภาพใหม่”
(เอเฟซัส
“และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวงเพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย...เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่...” (2 โครินธ์ 5:15, 17,
R.V.)
ชีวิตใหม่
ดังนั้นการรับบัพติศมา
อย่างที่ปรากฏในพระคัมภีร์จึงเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง ผู้เชื่อจึงจะตระหนักได้ว่าพวกเขาต้องการการช่วยให้รอดจากความตาย และในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องแสดงความปรารถนาของเขาที่จะมีชีวิตอยู่กับจิตวิญญาณของพระคริสต์
เขาได้เดินทางสู่หนทางแห่งชีวิตใหม่
ด้วยความเชื่อที่ว่าพระเจ้าจะรับเขาไว้เป็นหนึ่งในบุตรของพระองค์ ทุกสิ่งที่กล่าวมาคือสิ่งที่ทารกอายุไม่กี่วันมิอาจจะทำได้
เพราะเด็กคงไม่อาจจะเข้าใจและตอบสนองได้ และก็ไม่สามารถให้คนอื่นมากระทำแทนได้ ในพระคัมภีร์มีกล่าวไว้ว่าไม่อาจมีใครมาสำนึกผิดแทนใครได้
เราจำเป็นต้อง “อุตส่าห์ประพฤติเพื่อให้ได้ความรอด” (ฟิลิปปี
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีการให้บัพติศมาแก่ทารกในพระธรรมใหม่
ทุกคนที่รับบัพติศมาล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการให้รับบัพติศมา
ในบันทึกของคริสตจักรในยุคแรกๆ ไม่มีการกล่าวอ้างถึงการให้บัพติศมาแก่ทารกในช่วง 150 ปี
หลังพระเยซูทรงบังเกิด เรื่องราวของจัสตินผู้เป็นมรณะสักขี (เสียชีวิตเมื่อปี 165 หลังพระเยซูทรงบังเกิด)
พิสูจน์ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าสิ่งนี้กระทำได้เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น
“หลายคนที่ได้รับการชักชวนและมาเชื่อว่าสิ่งที่เราสอนสั่งและกล่าวไว้เป็นความจริง
และสัญญาว่าจะประพฤติตนตามที่เชื่อนั้น
ก็ถูกกำชับให้อธิษฐาน...เพื่อการยกโทษบาปของพวกเขา...(เรา) ได้เป็นบุตรที่ทรงเลือกและเป็นผู้มีความรู้และได้รับการยกโทษบาปในน้ำนั้น…(ผู้เชื่อ) จะเป็นผู้เลือกที่จะบังเกิดใหม่และเลือกที่จะสำนึกบาปของตัวเอง” (Ante-Nicene
Christian Library, ฉบับที่ 2 หน้า 59)
เทอร์ทูเลียน
(ประมาณ 200 หลังพระเยซูทรงบังเกิด)
ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้กล่าวถึงการให้บัพติศมาแก่ทารก
ท่านเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือรักษาธรรมเนียมของอัครสาวกไว้อย่างเหนียวแน่น
ฉะนั้นการที่ท่านเขียนประณามถึงความนิยมในการให้ทารกรับบัพติศมาที่เพิ่มมากขึ้นนี้จึงสำคัญมาก
Neander
นักประวัติศาสตร์ (Church History ฉบับที่ 1 หน้า 425)
กล่าวว่า ท่านเป็น“คู่ต่อสู้ผู้กระตือรือร้น” ของความนิยมดังกล่าวนี้
การให้ทารกรับบัพติศมาไม่ถูกต้องตามหลักในพระคัมภีร์
ตลอดหลายๆศตวรรษตั้งแต่สมัยนั้น
โดยเฉพาะตั้งแต่มีการรื้อฟื้นความสนใจในการสอนพระคัมภีร์ขึ้นใหม่ในสมัยการปฏิรูปศาสนาในศตวรรษที่
16 การให้ทารกรับบัพติศมาเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอย่างมาก พระศาสนจักรคาทอลิกตัดสินว่าการให้ศีลบัพติศมาแก่ทารกเป็นสิ่งที่กระทำได้เพราะเป็นธรรมเนียมที่พระศาสนจักรปฏิบัติมานาน
กล่าวคือ เป็นพื้นฐานความเชื่อที่ไม่มีภูมิหลัง
หลายคนเชื่อว่าเด็กจะได้รับการช่วยให้รอดจากนรกด้วยพิธีศีลนี้ และ “และได้ถูกสร้างใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” เป็น “การสร้างใหม่อันศักดิ์สิทธิ์”
อย่างที่เรียกกัน คำสอนนี้ไม่อาจหาพบได้ในพระคัมภีร์และนับเป็นกรณีที่ชัดเจนมากของ
“การทรงไถ่ผ่านทางพิธีกรรม”
ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการให้รับบัพติศมาในพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง
ดร. แอล
แลงจ์ นักเทววิทยาชั้นนำชาวเยอรมัน กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
“ต้องเป็นที่ยอมรับโดยผู้อ่านที่ไม่มีอคติต่อพระคัมภีร์และธรรมเนียมปฏิบัติของคริสเตียนอย่างแน่นอนว่า การให้ศีลบัพติศมาแก่ทารกเป็นสิ่งที่คริสตศาสนาในยุคแรกไม่รู้จักเลย”
(ประวัติศาสตร์นิกายโปรเตสแตนต์ หน้า 221)
ดีน
สแตนลีย์ เขียนไว้ในบทความอีกอันหนึ่งว่า
“การให้บัพติศมา
มีความเกี่ยวข้องกับอัครสาวกและเป็นพิธีที่มีมาตั้งแต่โบราณ...ไม่เหมาะสมกับรสนิยม
ความสะดวกและความรู้สึกของพวกทางเหนือและทางตะวันตก...มิใช่เพราะคำตัดสินของสภา...แต่โดยความรู้สึกทั่วไปอันเกิดจากอิสระเสรีภาพของคริสเตียน
การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นี้ (ไปสู่การให้บัพติศมาแบบพรมน้ำแก่เด็กทารก) ได้รับผลกระทบ...นับเป็นตัวอย่างที่น่าตกใจที่การตัดสินโดยใช้ความคิดความรู้สึกแบบพื้นๆมีชัยชนะต่อรูปแบบและธรรมเนียมปฏิบัติอย่างขาดลอย”
(นิตยสาร เดอะ ไนน์ทีนธ์ เซ็นจูรี รีวิว ฉบับเดือนตุลาคม ปี 1879)
กล่าวอีกอย่างก็คือ
คริสตจักรได้เปลี่ยนรูปแบบของบัพติศมาแบบดั้งเดิมในพระคัมภีร์ไปเสีย
ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับการยอมรับโดยอัครสาวกของพระเยซู เพียงเพราะพวกเขาเห็นว่ารูปแบบนั้นไม่สะดวกสบายหรือไม่เป็นที่ยอมรับหรือไม่ถูกรสนิยมคน
ความไม่แน่ใจ
ปฏิกริยาที่ปรากฏต่อสิ่งที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วนั้นจะมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ
ซึ่งควรแก่การพิจารณา
ประการแรก
คือ จะมีกลุ่มคนที่กล่าวว่า “ฉันยอมรับว่าทั้งหมดนั่นเป็นความจริง
แต่ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรับบัพติศมานี่” ปัจจุบันทัศนคติดังกล่าวเกิดขึ้นมากมายกับผู้คนที่มองเห็นศาสนาเป็นสิ่งที่ยึดถือตามอารมณ์
หากพวกเขารู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม พวกเขาอาจจะสรุปเอาว่าตัวเองยังไม่พร้อมสำหรับการรับบัพติศมา
แต่ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด
เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากเราตั้งแต่แรกก็คือการที่เราเตรียมใจของเราให้พร้อมที่จะทำความเข้าใจพระคำของพระองค์
แล้วจึงยอมรับสัจธรรมที่แฝงอยู่ในนั้นไว้ และตัดสินใจว่าจะพยายามและจะรับใช้พระองค์เท่านั้น
ยังมีเหตุผลประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อธิบายว่าเพราะเหตุใดวิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ใช้กันมาโดยไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับพระคำของพระเจ้า
คนที่เข้าใจความจริงที่ยิ่งใหญ่บางประการแล้วตัดสินใจให้สิ่งนั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตของเขา
ตัวเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกคนหนึ่ง หากเขาดำเนินชีวิตตามหนทางนั้นต่อไปเรื่อยๅ
เขาจะกลายเป็นคนที่ต่างไป เนื่องด้วย “การฟื้นฟูจิตวิญญาณขึ้นใหม่” อย่างที่เปาโลเรียก
ความเปลี่ยนแปลงนั้นจะคงอยู่เสมอไป พระเจ้าจะสามารถใช้คนคนใหม่นี้ในการรับใช้ของพระองค์ได้
ทั้งในเวลานี้และในอนาคตที่จะมาถึง
พระบัญชาของพระเจ้า
แต่ในที่สุดแล้ว
หากเรารู้ว่าพระบัญชาของพระเจ้าคือให้เรารับบัพติศมา
เราก็ควรจะเชื่อฟังและกระทำสิ่งนั้น
มิเช่นนั้นแล้วก็เท่ากับเรากำลังปฏิเสธพระคำของพระเจ้าอยู่กลายๆ
ความซาบซึ้งใจอันเหลือคณาต่อสิ่งที่เราได้กระทำไปนั้น จะเกิดตามมาในภายหลัง
เมื่อเราได้มีประสบการณ์ในชีวิตในเรื่องมุมมองต่อบาปในสายพระเนตรของพระเจ้า แล้วเราจะเข้าใจ “ความหอมหวานของพระคุณ” (เอเฟซัส
1:7) ในการอภัยบาปของพระองค์
แต่ขั้นตอนที่สำคัญขั้นแรก ก็คือการถอมตัวลงต่อหน้าพระคำของพระองค์แล้วทำตามที่พระคำสอนไว้
แล้วก็มีผู้ที่กล่าวว่า “ฉันก็เห็นด้วยว่าทุกสิ่งที่ว่านี้เป็นความจริง
แต่ฉันมีชีวิตแบบนั้นไม่ได้หรอก” โดยบอกเป็นนัยว่า “ดังนั้นฉันเลยไม่อยากจะเริ่มต้นทำอะไรทั้งนั้น” แน่นอน
ขอให้เรามาพูดกันตรงๆ
ว่านี่อาจเป็นเพียงแค่ข้ออ้างหนึ่งที่จะใช้หลบเลี่ยงพระบัญชาอันชัดเจน เพราะหากคนผู้นั้นยอมรับความจริงเรื่องบัพติศมาตามที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์จริง
การที่เขากล่าวเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขากำลังปฏิเสธน้ำพระทัยของพระเจ้า
แต่ก็อาจเป็นได้ว่าเขาตระหนักรู้ถึงชีวิตแห่งความจริงและความเมตตาและความศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งรวมอยู่ในการพยายามที่จะติดตามพระคริสต์
จึงรู้สึกว่าเขาคงไม่สามารถจะทำดีถึงขั้นนั้นได้ แล้วก็คงจะถูกพระเจ้าตัดสินว่าผิดในที่สุด
ความคิดนี้มีที่มาจากความเข้าใจที่ผิดมหันต์ คือ
ความเข้าใจที่ว่าพระเจ้าคาดหวังให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
เพราะว่าพระเจ้าทรงตระหนักดีถึงความอ่อนแอของธรรมชาติมนุษย์เรา
ผู้นิพนธ์พระธรรมสดุดีได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังในสดุดีบทที่ 103 ความว่า
“เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด
ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น...บิดาสงสารบุตรของตนฉันใดพระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น
เพราะพระองค์ทรงทราบโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี” (ข้อ 11-14)
เราไม่ได้เผชิญหน้ากับเผด็จการเลือดเย็น
แต่เป็นพระบิดาผู้ทรงเมตตา ผู้ซึ่งไม่ทรงปรารถนาให้มีผู้ใดต้องเสียชีวิตไป
แต่ให้ทุกคนรอดและมา “รู้จักความจริง” และ “กลับใจจากบาป” (1 ทิโมธี 2:4; 2 เปโตร 3:9) สรุปว่าพระเจ้าทรงพร้อมที่จะอภัยความผิดพลาดทั้งหมดให้กับผู้ที่สารภาพความจริงออกมาและปรารถนาที่จะรับใช้พระองค์อย่างตั้งใจจริง
พระเยซูจะเป็นคนกลางคอยช่วยอ้อนวอนพระบิดาแทนเรา
เพราะพระองค์ประทับอยู่ด้านขวาของพระบิดาเป็นนิตย์
เราควรจะเชื่อวางใจในพระเมตตาคุณของพระเจ้าและตั้งใจที่จะเชื่อฟังพระบัญชาทั้งหลายของพระองค์
การรับบัพติศมาจะเป็นการตัดสินใจก้าวแรกอันเด็ดเดี่ยวมั่นคงของเรา
เอกสิทธิ์
การรับบัพติศมาของเราถือเป็นสัญลักษณ์ว่าเราได้เข้าใจ “ความจริง”
อันเป็นการเปิดเผยน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา
มันเป็นประตูที่เปิดไปสู่ชีวิตที่มีความหวังอย่างใหม่
นับเป็นวิธีการมองชีวิตแบบใหม่ของเรา
เป็นหนทางใหม่ที่จะก้าวย่างไปในโลกแห่งความไม่แน่นอนและปัญหาสารพัน
เป็นความหมายใหม่ของความเข้มแข็งในการตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต เป็นการสร้างสันติกับพระเจ้าครั้งใหม่
ผู้ซึ่งทรง “นำเรามาคืนดีกับพระองค์เองในพระเยซูคริสต์” เพราะเมื่อเรามาเชื่อในพระคำของพระเจ้า
สถานภาพของเราจึงเปลี่ยนไป คือ เราไม่ได้ถูกตัดขาดจากพระเจ้าเพราะบาปของเรา
แต่ได้เป็นบุตรชายหญิงซึ่งแสนจะมีค่าในสายพระเนตรพระองค์ และเป็นทายาทแห่งอาณาจักรที่พระเยซูจะทรงสถาปนาขึ้นบนโลกเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา
ช่างเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่ควรโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
เฟรด เพียร์ส (ผู้แต่ง)