พระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก
แผนงานของพระเจ้าสำหรับโลกใบนี้
The Kingdom of God on earth
ทัศนียภาพของโลกที่มองจากอวกาศนั้นช่างงดงามอย่างแท้จริง
นักบินอวกาศทั้งหลายต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันเมื่อพวกเขามองกลับมายังโลกใบนี้ โลกนับเป็นเพชรเม็ดงามที่สุดในบรรดาสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงสร้างมา
และสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่พระองค์ทรงเลือกจากดวงดาวนับล้านๆในจักรวาล เป็นสถานที่ที่พระองค์สัญญาว่าจะให้พระอาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่
โลกจึงเป็นดวงดาวที่สวยงามเช่นนี้นี่เอง
ในบรรดาดวงดาวทั้งหลายในระบบสุริยะ
โลกคือดวงดาวเพียงดวงเดียวที่เหมาะสมกับการก่อกำเนิดชีวิตเป็นที่สุด และเป็นดวงดาวที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยระยะห่างที่เหมาะสมที่สุด
ก่อให้เกิดสภาพอากาศที่เหมาะสมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์
พระคัมภีร์ คือ แหล่งข้อมูลเพียงหนึ่งเดียว
พระคัมภีร์เพียงเล่มเดียวก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมโลกจึงเป็นเช่นนี้
เหตุผลก็คือพระเจ้าผู้สร้างโลก ได้…
“ทรงปั้นแผ่นดินโลกและทำมันไว้(พระองค์ทรงสถาปนามันไว้พระองค์มิได้ทรงสร้างมันไว้ให้ยุ่งเหยิงพระองค์ทรงปั้นมันไว้ให้มีคนอาศัย)ตรัสดังนี้ว่า"เราคือพระเจ้าและไม่มีอื่นใดอีก..””(อิสยาห์ 45:18)
เราเห็นว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุผลถ้าเราจะกล่าวว่า
หากมีพระผู้สร้างอยู่จริง และหากว่าพระองค์เป็นผู้สร้างมนุษย์ให้อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้
ไม่มีที่อื่นใดอีก ก็แปลว่าจะต้องมีพระประสงค์อันใหญ่ยิ่ง
ในพระทัยของพระองค์เป็นแน่
ดีที่เราไม่ต้องมาเดาว่าพระองค์ทรงพระประสงค์สิ่งใด
นับจากวันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้อาศัยอยู่บนโลก
พระประสงค์สูงสุดหนึ่งเดียวของพระองค์ก็คือการที่สิ่งสร้างของพระองค์จะสนองตอบต่อความประเสริฐของพระองค์อย่างเต็มใจ
“เพราะว่าพิภพจะเต็มไปด้วยความรู้ในเรื่องพระสิริของพระเจ้าดังน้ำที่เต็มทะเล..” (ฮะบากุก 2:14)
และขั้นตอนสุดท้ายที่จะทรงกระทำเพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์เป็นจริงก็คือ
เหตุการณ์ที่พระคัมภีร์บรรยายว่าคือ การที่พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่บนแผ่นดินโลก
พระอาณาจักรที่แท้
ในแง่ของการเมืองและสัญลักษณ์ อาณาจักรที่แท้จริงจะต้องมีกษัตริย์
รัฐบาล เมืองหลวงและระบบกฏหมายที่เป็นสากล
พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งให้พระบุตรของพระองค์คือ พระเยซูคริสตเจ้า
เป็นผู้ทรงอำนาจแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงกำหนดวันเวลานั้นไว้แล้ว
“เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรมโดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต” (กิจการ
พระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะมาตั้งอยู่ที่นี่ในไม่ช้า
แม้จะมีสัญลักษณ์มากมายที่บ่งบอกถึงการมาถึงของพระอาณาจักรดังกล่าว แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ใจความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เราเชื่อว่าอย่างไรเสียเหตุการณ์นี้ก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
พันปีที่จะมาถึงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่โลกเคยพบเห็นก็ว่าได้
จะเป็นช่วงเวลาที่โดดเด่นยิ่งกว่ายุคอื่นใดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น
ยุคแห่งความเข้าใจ(the
age of enlightenment) ยุคคลาสสิค (the classical age) ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
(the renaissance) และอื่นๆ พระอาณาจักรของพระเจ้าจะนำมาซึ่งสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมบนดาวดวงนี้สำหรับผู้ที่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างสูงสุดหนึ่งเดียว
และพระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองโลกใบนี้
โลกอันงดงาม
ลองใช้จินตนาการของคุณดูสิ ลองนึกภาพโลกที่สงบสันติ
ผู้คนที่มีสุขภาพดีและมีความสุขสมบูรณ์ ทำการงานที่ให้ผลดี
ลองนึกถึงโลกที่ทุกคนมีงานทำ ที่ซึ่งคนไม่ถูกใช้เยี่ยงทาส
ผู้คนสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและผาสุข เป็นโลกที่ความอดอยากและโรคติดต่อร้ายแรงไม่สามารถทำอันตรายคนหนึ่งในสามได้
เป็นที่ที่มีทรัพยากรณ์ทั้งทางบกและทางทะเลให้ใช้ได้อย่างไม่รู้หมดสิ้น
คุณเริ่มเห็นภาพพระอาณาจักรของพระเจ้าบ้างแล้ว
ทีนี้ลองมาพิจารณาเรื่องการสิ้นสุดของความเชื่อทางศาสนาของนิกายต่างๆ
ลองนึกถึงยามที่เรามีกฏหมายเดียวใช้ร่วมกันทั้งโลก
เป็นเวลาที่ความยุติธรรมมีอยู่จริงและเกิดจากหัวใจที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง
ซึ่งจะไม่ประนีประนอมกับผู้กระทำความผิด
ลองวาดภาพชีวิตที่ปราศจากการก่อการร้ายและการทารุณกรรมเด็กๆ
สังคมที่คนอยู่กันอย่างเป็นมิตรและแนวโน้มที่ชั่วร้ายจะถูกกำจัดเสีย
เป็นสังคมที่รัฐบาลจะสร้างมาตรฐานทางความประพฤติที่ดีงาม
มีบทลงโทษที่เป็นธรรมมาใช้อย่างจริงจัง ที่นั่นคือพระอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกใบนี้
สำหรับหลายๆคน
พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆที่คนเราสร้างขึ้นเพื่อหวังว่าสักวันจะไปถึงค
วามสุขขั้นนั้นได้บนโลกใบนี้ แต่สำหรับอีกหลายคน พระอาณาจักร คือ
ความใฝ่ฝันถึงความสุขอันยิ่งใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้า
แต่ผู้ที่เอาความจริงเป็นหลักรู้ดีว่าความปรารถนาของมนุษย์ที่จะกระทำให้ฝันเป็นจริงนั้นไม่ได้ทำให้โลกนี้ดีขึ้นแต่อย่างใด
ไม่ว่าสำหรับคนรุ่นเราหรือรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา และใครก็ตามที่อ่านพระคัมภีร์อย่างละเอียดจะพบว่าไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ถึงความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายในสรวงสวรรค์
พระอาณาจักรกลับเป็นเรื่องของอาณาจักรที่อยู่บนโลกซึ่งเห็นได้ด้วยตาและมีอยู่จริงๆ
ซึ่งจะถูกตั้งขึ้นเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จกลับมายังโลกจากสวรรค์ในอนาคตอันใกล้นี้
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่”
ในครั้งนั้น
อัครสาวกของพระเยซูเห็นว่าการอธิษฐานถึงพระเจ้าเป็นเรื่องยากยิ่ง จะให้อธิษฐานเผื่อสิ่งใด
แล้วเรื่องอะไรควรมาก่อนมาหลัง พระองค์จึงทรงแก้ปัญหานี้โดยทรงสอนพวกเขาให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า
“คำอธิษฐานของพระเยซู”
ซึ่งช่วยให้พวกเขาเข้าใจเรื่องลำดับความสำคัญก่อนหลัง พระเจ้าทรงเป็นพระบิดา
ผู้จัดหาสิ่งต่างๆแก่เรา
พระเจ้าทรงมีที่ประทับในสวรรค์ที่ซึ่งทุกสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์
และพระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่บนโลก ช่างเป็นคำขอที่วิเศษเสียนี่กระไร
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก…เหตุว่าราชอำนาจและฤทธิ์เดชและพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์อาเมน” (มัทธิว 6:9-13)
คริสตชนทั้งหลายยังคงอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานนี้เสมอมาไม่เปลี่ยน ประโยคที่ว่า
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่”
ควรจะติดอยู่ที่ริมฝีปากของคริสตชนผู้ที่สัตย์ซื่อเสมอ
ปกติแล้ว มนุษย์มักจะกระทำราวกับว่าไม่มีพระผู้สร้างและสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมาโดยไร้จุดมุ่งหมาย
แต่พวกเขาไม่มีข้ออ้างที่จะกล่าวเช่นนั้นได้อีกต่อไป
เพียงดูแค่ความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์และพืชพรรณต่างๆรอบตัวเราก็เพียงพอ
พวกมันเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยการออกแบบของใครบางคน แม้แต่บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้ายังต้องพิศวงกับความมหัศจรรย์ของเซลล์สิ่งมีชีวิตต่างๆ
อัครสาวกเปาโล
ผู้มีการศึกษาสูงในสมัยของท่านยังประกาศว่าลัทธิที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้านั้นเป็นลัทธิที่ไม่น่าเชื่อถือ
เพราะ “เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลายเพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้นคือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม
หากมีพระเจ้าจริง และพระองค์ทรงเตรียมอนาคตไว้สำหรับมนุษยชาติ
พระองค์ก็คงบอกเราเช่นนั้นแล้วไม่ใช่หรือ
ในความเป็นจริงพระองค์ทรงบอกเราไว้แล้ว พระคริสตธรรมคัมภีร์
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเล่ม ได้เปิดเผยถึงแผนการต่างๆที่ทรงมีไว้สำหรับโลกใบนี้
พระองค์ทรงตรัสกับ “บรรพบุรุษทั้งหลาย”
และผ่านผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย และ “แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตรผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก” (ฮีบรู 1:1-2)
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมข่าวประเสริฐจึงเป็นหัวใจของการประกาศของพระคริสต์ “พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลีทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา
ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า” (มัทธิว
“เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์” (มัทธิว 25:31, 32)
อาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ที่ใดในโลก
เพื่อที่จะตอบคำถามนี้
ขอให้เราย้อนกลับไปดูพระธรรมภาคพันธะสัญญาเดิมกันสักหน่อย
ในสมัยนั้นพวกชาวยิวเชื่อว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกนี้จะต้องอยู่ที่ดินแดนปาเลสไตน์เป็นแน่
ชาวยิวที่รู้พระคัมภีร์ดีจะรู้ว่าพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะยกดินแดนคานาอัน
(ชื่อเดิมของดินแดนปาเลสไตน์) ให้แก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ (ปฐมกาล
หลังจากการอพยพออกจากอียิปต์
ความสัมพันธ์พิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างพระเจ้าและชาวอิสราเอลทำให้พระองค์ทรงเรียกพวกเขาว่าเป็นอาณาจักรของพระองค์
พระเจ้าทรงเป็นผู้นำของเขาและพวกเขาเป็นประชากรของพระองค์
“เหตุฉะนี้ถ้าเจ้าฟังเสียงเราและรักษาพันธสัญญาของเราไว้เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลางชนชาติทั้งปวงเพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา…เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิตและเป็นชนชาติบริสุทธิ์” (อพยพ 19:5-6)
แต่อิสราเอลก็ไม่อาจรักษาความสัมพันธ์เช่นนี้ได้นานนัก
และมักจะเสื่อมถอยไปสู่ระดับเดียวกับชนชาติที่อยู่รายรอบ ยกเว้นในสมัยที่พวกเขารุ่งเรืองมาก
คือในสมัยของกษัตริย์ดาวิดและพระราชโอรสของพระองค์คือกษัตริย์ซาโลมอน
พวกเขาได้มีประสบการณ์ในเรื่องการเป็นอาณาจักรของพระเจ้า
พวกเขามั่งคั่งและขยายอิทธิพลไปกว้างไกล เกิดเป็นความสงบสันติในแผ่นดินนั้น
กษัตริย์ดาวิดสรุปว่า “พระองค์ทรงเลือกซาโลมอนบุตรข้าพเจ้าให้นั่งบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าเหนืออิสราเอล” (1พงศาวดาร 28:5)
ความล้มเหลวของอาณาจักรชาวยิว
น่าเสียดาย
ช่วงที่เจริญรุ่งเรืองของประวัติศาสตร์นั้นนับว่าสั้นนัก ความผิดพลาดของมนุษย์
ความหยิ่งยโส และความไม่ใส่ใจในมาตรฐานแห่งความบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงวางไว้ ล้วนแล้วแต่ดึงอาณาจักรแห่งนี้ให้ตกต่ำลง
ในไม่ช้าอาณาจักรแห่งนี้ก็ไม่หลงเหลือภาพของสถานที่ที่ให้พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ผู้ปกครอง
จนกระทั่งไม่กี่ร้อยปีถัดมา พระเจ้าทรงนำจุดจบมาสู่ราชวงศ์นี้ การโจมตีโดยกองทัพบาบิโลนก็ใกล้เข้ามา
จึงไม่เหลืออาณาจักรของพระเจ้าให้ดูอีกต่อไปเป็นเวลานานแสนนาน
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงราชวงศ์สุดท้ายไว้ว่า
“เราจะกระทำให้เป็นที่พังทลายพังทลายพังทลายและจะไม่มีเลยจนกว่าผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมจะมาถึงและเราจะประทานให้แก่ท่านผู้นั้น” (เอเสเคียล
คำกล่าวนั้นนับเป็นคำพยากรณ์ที่น่าสะพรึงกลัวมากเพราะกล่าวถึงการล่มสลายของราชวงศ์นี้
จนกว่าทายาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะเสด็จมา นั่นคือ พระเยซูคริสต์
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ จนกว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาปรากฏบนโลกนี้อีกครั้ง
จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ยังมีชาวยิวที่สัตย์ซื่อซึ่งยังหลงเหลืออยู่
จะคอยมองหาพระเมสิยาห์จากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดแห่งเผ่ายูดาห์ สานุศิษย์ของพระเยซูต่างพากันตื่นเต้นเพราะเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าที่จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกในแผ่นดินอิสราเอล
หลังจากที่พระองค์ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย พวกเขาถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้าพระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่ชนอิสราเอลในครั้งนี้หรือ” (กิจการ 1:6)
จริงๆแล้วพวกเขารีบร้อนไปหน่อย
พวกเขาได้เห็นป้ายเหนือไม้กางเขนของพระองค์ที่เขียนไว้ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว”
พระองค์เสด็จออกมาจากอุโมงค์ฝังพระศพและมาอยู่ร่วมกันกับพวกเขาอีกครั้ง
แบบมนุษย์ที่มีเนื้อหนังและสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่คราวนี้ทรงเป็นอมตะแล้ว
พวกเขาก็ยังทนรอไม่ไหวที่จะเห็นมงกุฏบนพระเศียรของพระองค์
และพระอาณาจักรของพระเจ้ามาตั้งอยู่ที่นั่น เพราะเวลานั้นยังมาไม่ถึง เนื่องจากข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรจะต้องถูกประกาศไปยังทั่วทุกชนชาติเสียก่อน
ไม่เพียงแต่พวกยิวเท่านั้น พระเยซูทรงตรัสบอกพวกเขาว่า
“ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็มทั่วแคว้นยูเดียแคว้นสะมาเรียและจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8)
เยรูซาเล็ม
สี่แยกของโลก
เราเห็นแล้วว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าจะเน้นเพียงแต่เรื่องส่วนการปกครองของชาวยิว
กษัตริย์ชาวยิว ที่นี้ กษัตริย์ทุกพระองค์จำต้องมีที่ประทับ เมืองหลวง
บัลลังก์ของพระองค์ กรุงเยรูซาเล็มจึงจะเป็นศูนย์กลางที่ว่านั้น และจะมีที่ใดเหมาะไปกว่านี้อีกเล่า
หนึ่งพันปีก่อนการประสูติของพระคริสต์
กวีชาวยิวประกาศไว้ว่า
“ภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์มองขึ้นไปก็ดูงามเป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้นคือภูเขาศิโยนอุดรไกลซึ่งเป็นนครของพระมหาราชา” (สดุดี 48:2)
นครแห่งนี้จะเป็นเมืองหลวงที่ยอดเยี่ยม
จะเป็นศูนย์กลางที่สำคัญยิ่งกว่านิวยอร์ค มอสโก สตราสบวร์ก และสะดวกในการติดต่อกับทวีปยุโรป แอฟริกา
และเอเชียด้วย
พระอาณาจักรของพระเจ้าแห่งนี้จะเป็นอาณาจักรเดียวของโลกและพระเยซูคริสต์จะเป็นจักรพรรดิปกครองอาณาจักรนั้น
เหตุการณ์นี้ได้รับการเปิดเผยไว้เมื่อนานมาแล้ว ผู้เผยพระวจนะดาเนียล แปลความหมายของนิมิตที่กษัตริย์บาบิโลนทรงทอดพระเนตรเห็นในพระสุบิน
เป็นนิมิตรที่บอกถึงอาณาจักรที่รุ่งเรืองต่างๆ เช่น บาบิโลน เปอร์เซีย กรีซ และโรม
ตามด้วยการปกครองที่เข้มแข็งและที่อ่อนแอ จนมาถึงภาพของการเสด็จมาของพระเยซูซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้า
ในนิมิตนั้นพระองค์ทรงถูกแทนที่ด้วย “ก้อนหิน” ที่มาทำลายชนชาติที่กบฏต่อพระองค์ในวาระสุดท้ายนั้น
“และในสมัยของพระราชาเหล่านั้นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งไม่มีวันทำลายเสียได้หรือราชอำนาจนั้นจะไม่ตกไปแก่ชนชาติอื่นราชอาณาจักรนั้นจะกระทำให้ราชอาณาจักรเหล่านี้แตกเป็นชิ้นๆถึงอวสานและราชอาณาจักรนั้นจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์” (ดาเนียล 2:44)
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคำทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
“ราชอาณาจักรแห่งพิภพนี้ได้กลับเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและเป็นของพระคริสต์ของพระองค์และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์
การพิพากษาโลก
ก่อนที่เราจะเรียนกันต่อไป
ขอให้เราระลึกไว้ว่าการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์จะนำมาซึ่งความสยดสยองมาเช่นเดียวกับความสุขอันยิ่งใหญ่
เพราะคงต้องมีการต่อต้านจากชาติต่างๆก่อนเป็นแน่ก่อนที่ทุกอย่างจะสำเร็จไป
ให้เรามาดูสี่หัวข้อที่สำคัญ
1. “บรรดาประชาชาติ” จะรวมตัวกันต่อต้านอิสราเอล
แต่พระเยซูจะทรงทำลายเหล่าผู้รุกราน (เศคาริยาห์ 14, เอเสเคียล 38, 39)
2. กรุงเยรูซาเล็มจะต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรง
ส่งผลให้เกิดการสูญเสียมากมาย เมื่อ “ในวันนั้นพระบาทของพระองค์จะยืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ” (เศคาริยาห์ 14:4)
3. บางรัฐบาลจะท้าทายพระคริสต์และ“บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้นและนักปกครองปรึกษากันต่อสู้พระเจ้าและผู้รับการเจิมของพระองค์” (สดุดี 2:2)
แต่จะมีการพิพากษาผู้ที่ต่อต้านพระองค์ (อิสยาห์ 34, วิวรณ์ 18)
4. จะมีการฟื้นขึ้นจากความตายและการพิพากษา
บรรดาผู้ที่ถูกปฏิเสธจะร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง รวมทั้งผู้ที่เคยได้โอกาสแต่กลับโยนโอกาสนั้นทิ้งไปก็เช่นกัน
ซึ่งจะตรงกันข้ามกับคนที่พระองค์ทรงเรียก “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา
จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก” (มัทธิว 25:34)
พระอาณาจักรเริ่มต้นขึ้น
เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้บังเกิดขึ้น
และกษัตริย์พระองค์นั้นได้นำกองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์อันประกอบด้วยบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์
เข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อนั้นงานของอาณาจักรของพระคริสต์จึงจะเริ่มต้นขึ้น
จะมีการสร้างพระวิหารหลังใหม่ และเผ่าทั้ง 12 เผ่าของอิสราเอลจะถูกรวบรวมเข้าไว้ยังแผ่นดินอิสราเอลอีกครั้ง
บรรดาทูตจากทั่วทุกชาติจะเริ่มเข้ามาถวายพระพรแด่พระองค์
“บรรดาพระราชาแห่งเมืองทารชิชและของเกาะทั้งปวงถวายราชบรรณาการขอบรรดาพระราชาแห่งเชบาและเสบานำของกำนัลมา พระราชาทั้งปวงกราบลงไหว้ท่าน” (สดุดี
บรรดาประชาชาติจะระดมคนมาเพื่อเข้าเฝ้าพระองค์
“มาเถิด
ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเจ้า” พวกเขาจะทำสิ่งนี้เพราะ..
“พระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เราและเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์"เพราะว่าพระธรรมจะออกมาจากศิโยนและพระวจนะของพระเจ้าจะออกมาจากเยรูซาเล็ม” (อิสยาห์ 2:3)
ผลของการเรียนรู้พระคำของพระเจ้านั้นช่างน่าทึ่ง
ประชาชาติจะ “ตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนาและหอกของเขาให้เป็นขอลิด” นี่ช่างเป็นวิธีที่ชวนคิดในการบรรยายถึงการปลดอาวุธ
เพราะจะไม่มีสงครามอีกต่อไป
ประชากรของพระอาณาจักร
เราต้องมาศึกษาให้กระจ่างเกี่ยวกับประชากรในพระอาณาจักรของพระเจ้า
สถานที่แห่งนี้จะประกอบด้วยคน 2 ประเภท
พวกแรกคือผู้ปกครอง และผู้นำทางจิตวิญญาณ ซึ่งจะเป็นอมตะ ( คือ
จะไม่มีวันตาย) ส่วนพวกที่สองคือ
ประชากรของพระอาณาจักร ซึ่งจะไม่เป็นอมตะ (คือ
จะต้องตายในวันหนึ่ง)
กลุ่มแรกจะรวมถึงพระเยซูผู้เป็นกษัตริย์แห่งสากลจักวาลด้วย
อับราฮัม ดาวิด และผู้ที่ “สมควร” คนอื่นๆซึ่งจะได้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติในพระอาณาจักรนั้น
อัครสาวกทั้งสิบสองคนและผู้ติดตามพระเยซูอย่างซื่อสัตย์ อันได้แก่ “ธรรมิกชนทั้ง 11
คน” ผู้ซึ่งจะเป็นผู้ปกครองและผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับยุคใหม่ที่จะมาถึงนั้น
กลุ่มที่สองจะประกอบด้วยปุถุชนคนธรรมดาในโลก
ผู้ซึ่งเมื่อพระเยซูเสด็จมา ได้รอดจากการพิพากษาบนโลกและเต็มใจยอมรับพระเยซูให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา
คนกลุ่มนี้รวมถึงพวกยิวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในอิสราเอลด้วย
พวกที่เป็นอมตะ
ความเป็นอมตะคือของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าจะทรงประทานแก่ผู้ที่ได้เชื่อฟังพระองค์และกระทำตามพระบัญญํติของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ
คนเหล่านี้มาจากทุกยุคทุกสมัยจนถึงคราวที่พระเยซูเสด็จกลับมายังโลกนี้
คนเหล่านี้คือ
“พระองค์ได้ทรงไถ่คนทุกเผ่าทุกภาษาทุกชาติและทุกประเทศเพื่อถวายแด่พระเจ้า
พระองค์ได้ทรงโปรดให้เขาเป็นราชอาณาจักรและเป็นปุโรหิตของพระเจ้าของเรา และพวกเขาจะได้ครอบครองแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 5:9-10, 10:4)
เราจะต้องไม่คิดถึงคนที่เป็นอมตะราวกับว่าพวกเขาเป็นผี
หลังการคืนพระชนม์ พระเยซูก็ทรงเป็นอมตะ
แต่พระองค์ก็ทรงกินและดื่มกับสาวกของพระองค์
และยังสามารถสำแดงฤทธานุภาพอันมหัศจรรย์ได้ด้วย
ร่างกายที่เป็นอมตะของพระองค์ยังมีกระดูกและเลือดเนื้อเหมือนคนทั่วไป
แต่ได้รับการเสริมพลังโดยพระวิญญาณของพระเจ้า
ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับโรคภัยหรือความพิกลพิการใดๆ
เช่นเดียวกับนักปกครองผู้ชาญฉลาดอื่นๆ
พระเยซู จะทรงแต่งตั้งบุคคลอื่นที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมมาช่วยพระองค์ปกครองดูแลพระอาณาจักรของพระองค์
บุคคลในพระคัมภีร์ทั้งหลายจะได้เป็นตัวอย่างในเรื่องของความเชื่อ
บุคคลอย่างอับราฮัม ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “ผู้ที่จะได้พิภพเป็นมรดก” ในโรม
ผู้ปกครองร่วมกับพระคริสต์
จะมีบทบาทพิเศษสำหรับอัครสาวกทั้งสิบสองคนตามที่พระองค์ทรงพระสัญญาไว้
“พระเยซูตรัสกับเขาว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้นพวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า” (มัทธิว
ในหนังสือดาเนียล
ท่านได้เห็นนิมิตของพระอาณาจักรของพระเจ้ามาตั้งอยู่บนโลก
ท่านยังได้รับการบอกกล่าวถึงเรื่องของบุคคลต่างๆที่จะมารับผิดชอบงานที่นั่นด้วย
“แต่บรรดาวิสุทธิชนแห่งองค์ผู้สูงสุดจะรับราชอาณาจักรและถือกรรมสิทธิ์ราชอาณาจักรนั้นสืบๆไปเป็นนิตย์ทีเดียว” (
บรรดาผู้ปกครองที่ไม่มีวันตาย
เช่น “บรรดาวิสุทธิชน”เหล่านี้
มีความพิเศษอย่างไร “วิสุทธิชน” หมายถึง
ผู้ที่บริสุทธิ์หรือถูกแยกออก หมายถึง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เสียสละตนเองเพื่อหลักการอันศักดิ์สิทธิ์
ดังเช่น
บรรดาผู้ที่ได้รับการเลือกในสมัยแรกๆและได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นของขวัญ
เพื่อช่วยโมเสสปกครองชาวอิสราเอลในสมัยโบราณ พวกเขาจะเป็น “คนที่สามารถ เช่น
ยำเกรงพระเจ้า ผู้ที่รักความจริง
ผู้ที่เกลียดชังความโลภ” แต่มีข้อแตกต่างอยู่เพียงประการเดียว
คือ บุคคลเหล่านั้นตายไปแล้ว แต่ผู้ปกครองในอนาคตจะไม่มีวันตาย
และความดีในตัวพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตามอายุขัยด้วย
พระราชาองค์นี้จะมีความสามารถในการหยั่งรู้เพื่อจะเลือกทั้งชายและหญิงให้เหมาะกับการงานที่พวกเขาแต่ละคนควรทำ
เพื่อจะได้ใช้ทักษะที่พวกเขาได้รับจากชีวิตในปัจจุบัน
คุณภาพชีวิตของชีวิตที่เป็นนิรันดร์
ชีวิตนิรันดร์จะให้ประโยชน์มากมายสำหรับผู้ปกครองและอาจารย์เหล่านี้
ด้วยดวงใจที่ใสสะอาดและร่างกายที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ พวกเขาจะไม่ต้องพบกับโรคร้ายต่างๆรวมทั้งความพิกลพิการ
“พวกเขาจะไม่หิวกระหายอีกเลย
แสงแดดและความร้อนจะไม่ส่องต้องเขาอีกต่อไป เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะคุ้มครองดูแลเขา
และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาเหล่านั้น..” (วิวรณ์
ความเปลี่ยนแปลงทั่วโลกนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใดเมื่อพระคริสต์จะส่งนักปกครองตัวแทนของพระองค์จากกรุงเยรูซาเล็มไปยังที่ต่างๆ
กฏหมายใหม่ที่อิงกับหลักของพระคัมภีร์จะมีผลทำลายล้างขั้วทางการเมืองและจะสลายทิฐิอันเป็นสาเหตุของการแข่งขันระหว่างศาสนาต่างๆ
พันปีแห่งสันติภาพ
แน่นอนว่า
คงต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งจะดีต่อวิถีชีวิตโดยรวมของผู้คน สิ่งนี้คงจะไม่เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน
แต่จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยาวนานถึงหนึ่งพันปีกว่าที่แผนการของพระเจ้าในการเปลี่ยนแปลงประชากรชาวโลกจะสำเร็จเสร็จสิ้นลง
เราอย่ามองว่ายุคที่กำลังจะมาถึงนี้จะเป็นยุคแห่งความฝันหรือดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้
เพราะนี่จะเป็นโลกจริงๆ เป็นคนจริงๆซึ่งรอดจากการพิพากษาโทษและยอมรับเอาพระคริสต์เป็นผู้ปกครองโลก
ซึ่งพระองค์ได้ถูกเตรียมไว้เพื่อปกครองโลกด้วย “คทาเหล็ก”
เพื่อประโยชน์สุขของอารยธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ
ในเวลานั้น
ชาติต่างๆก็ยังสามารถมีลักษณะและอารยธรรมของตัวเองได้ รวมถึงยังดำรงภูมิหลังทางเชื้อชาติของตนเองได้
บรรดาผู้ปกครองจากกรุงเยรูซาเล็มจะมีความสามารถในการพูดภาษาต่างๆได้ก่อนที่ภาษาต่างๆในโลกจะถูกเปลี่ยนไปเป็นภาษาเดียวที่ใช้กันทั่วทั้งโลก
ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ที่หอบาเบลในครั้งกระนั้น (ดูปฐมกาล 11) และจะช่วยให้ปัญหาเรื่องความสงสัยข้องใจและความยุ่งยากที่เกิดจากการพูดกันคนละภาษาหมดสิ้นไป
ระบบการตัดสินคดีความอย่างเป็นธรรม
ในทุกระดับอารยธรรมทั่วทั้งโลก
จำต้องมีอำนาจในรูปแบบต่างๆคอยควบคุมอยู่เสมอ
เพื่อที่จะเป็นหลักประกันความสุขในการอยู่ร่วมกันของปวงชน ยังไม่มีอุดมคติ
ระบบทุนนิยม หรือ ระบบคอมมิวนิสต์
รวมทั้งทรราชคนใดที่สามารถรับประกันเรื่องนี้ได้อย่างมั่นใจ เพราะในความเป็นจริง
เรายังต้องเผชิญหน้ากับอิทธิพลของความโลภ การคอร์รัปชั่น การแทรกแทรง การติดสินบน
และการใช้อำนาจโดยมิชอบ สิ่งเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนใหม่หมด จะต้องมีความยุติธรรมให้คนจนและผู้ที่ด้อยโอกาสจะต้องได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันกับคนทั่วไป
พระเยซูจะทรงกระทำให้เป็นจริงได้ดังที่ทรงตั้งพระทัยไว้
“ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็นหรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน
แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรมและตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลก {หรือแผ่นดิน}
ด้วยความเที่ยงธรรมท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่านและท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน” (อิสยาห์ 11:3-4)
เมื่อ “เจ้านายจะครอบครองด้วยความยุติธรรม” (อิสยาห์ 32:1)
มาตรฐานของสังคมจะเปลี่ยนไป จะไม่มีกฏหมายที่ใช้เฉพาะกับคนรวยหรือเฉพาะกับคนจน! แต่จะมีกฏหมายที่บังคับใช้โดยทั่วไปไม่ว่าคุณจะอยู่ในวอชิงตัน
มอสโคว หรือปักกิ่ง
เพราะกฏหมายเหล่านี้ล้วนมีพื้นฐานมาจากคำเทศนาบนภูเขาและหลักการอันศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างขึ้นโดยพระราชาและราชสำนักของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม
แล้วการบังคับใช้กฏหมายใหม่นี้จะมีผลอย่างไรต่อชีวิตของประชาชน
เมื่อเหล่าอาชญากรและคนพาลรับรู้ว่าผู้พิพากษาทั้งหลายสามารถมองทะลุใจของพวกเขาได้และได้รู้ว่าโทษทัณฑ์ที่จะตามมานั้นจะสาสมกับอาชญากรรมที่พวกเขาก่อไว้
ประชาชนส่วนใหญ่จะเรียนรู้ว่าการรักเพื่อนบ้าน
ความซื่อสัตย์และการรักความจริงเป็นคุณธรรมที่คนเราจะต้องมีเพื่อที่จะได้มาซึ่งชีวิตที่มีสุขและมั่งคั่ง
สิ่งนี้มิใช่เพียงมุ่งหมายเพื่อให้ครอบครัวของคุณและผู้อื่นสามารถอยู่ร่วมกันด้วยความสันติสุข
แต่ยังมุ่งหมายให้เกิดการคลี่คลายปัญหาภายในประเทศและปัญหาระดับประเทศด้วย
ดังที่อิสยาห์ได้กล่าวไว้ “และผลของความชอบธรรมจะเป็นศานติภาพและผลของความชอบธรรมคือความสงบและความวางใจเป็นนิตย์”(อิสยาห์ 32:17)
กฏหมายต่างๆที่บังคับใช้โดยผู้ปกครองที่มีชีวิตเป็นอมตะจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้คนกระทำตามสัญชาติญาณดิบของตัวเอง
เหล่าคนบาปที่ไม่กลับใจจะถูกประหารทันทีหรือไม่ก็ถูกลดอายุขัยให้สั้นลง
แทนที่จะได้มีความสุขกับอายุที่ยืนนาน “ท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน” และ “คนบาปที่มีอายุเพียงหนึ่งร้อยปีจะเป็นที่แช่ง” (อิสยาห์ 11:4, 65:20)
สุขภาพอันสมบูรณ์
อิสยาห์ยังบอกเราด้วยว่า
“ในนั้นจะไม่มีทารกที่มีชีวิตเพียงสองสามวันหรือคนแก่ที่มีอายุไม่ครบกำหนดเพราะเด็กมักจะมีอายุหนึ่งร้อยปีจึงตายและคนบาปที่มีอายุเพียงหนึ่งร้อยปีจะเป็นที่แช่ง” (65:20)
ข้อพระธรรมนี้แสดงให้เห็นว่า
ปัญหาเรื่องอายุขัยของเด็กทารก ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งจะถูกขจัดให้หมดสิ้นไป หากใครที่อายุยืนถึง 100 ปี
เขาก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ช่างเป็นความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
หากเทียบกับอายุขัยของคนในบางประเทศที่ยืนยาวเพียงแค่ 40 ปี
หรือแม้แต่ในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์ อายุขัยเฉลี่ยก็ยังอยู่ที่ประมาณ 70 ปีเท่านั้นตามที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีว่าไว้
วัยเด็กจะเป็นความชื่นบานและวัยชราจะไม่ต้องอับอาย เพราะ “ชายชราและหญิงชราจะนั่งอยู่ตามลานเมืองเยรูซาเล็มอีก
ต่างก็มีไม้เท้าอยู่ในมือเพราะอายุมากทีเดียว และในลานเมืองนั้นก็จะมีเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงวิ่งเล่นอยู่ทั่วไป” (เศคาริยาห์ 8:4, 5)
หากพระเยซู
แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ยังสามารถรักษาคนป่วยเจ็บในการเทศนาครั้งแรกของพระองค์ได้
รักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้มองเห็นได้ ทำให้คนง่อยเดินได้
ขับผีและชุบคนตายให้เป็นขึ้นได้ ก็เแน่ใจได้ว่าพระองค์และบรรดาผู้ช่วยของพระองค์จะกระทำเช่นนั้นด้วยและจะทำมากไปกว่านั้นแน่ๆในอนาคต
เมื่อประชากรชาวโลกได้รับการกระตุ้นเตือนและหันมาหามาตรฐานแห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์และทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในเวลาที่เหมาะสม
สิ่งที่เป็นปัญหาเช่นมะเร็ง โรคหัวใจก็จะหายไป เมื่อใดที่ครอบครัวรู้จักเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของการสมรสและการมีเพศสัมพันธ์ภายในกรอบของศีลธรรม
เมื่อนั้นโรคระบาดร้ายแรงเช่นเอดส์ จะไม่สร้างความเสียหายให้แก่ชาติอีกต่อไป ข่าวดีก็คือ
“แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะเปิดออกแล้วหูของคนหูหนวกจะเบิก แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวางและลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงด้วยความชื่นบาน” (อิสยาห์ 35:5-6)
การใช้ทรัพยากรของโลกเพื่อประโยชน์ของมวลชน
ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับอารยธรรมสมัยใหม่ของพวกเรา
ทั้งๆที่พวกเรามีแร่ธาตุและผืนดินที่อุดมสมบูรณ์มากมายเพื่อผลิตอาหาร
มนุษย์เราก็ยังไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรที่กำลังเพิ่มมากขึ้นได้อย่างเพียงพอ
เขายังไม่สามารถแจกจ่ายทรัพยากร
หรือจัดรูปแบบแรงงานเพื่อที่ว่าทุกคนจะมีงานที่ตนเองพอใจและมีชีวิตที่มั่งคั่งและเป็นสุข
แต่สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้
ทรัพยากรมีอยู่ในโลกตลอดตั้งแต่พระเจ้าได้ทรงออกแบบโลกอันแสนงดงามใบนี้ไว้
แต่สิ่งที่โลกใบนี้ต้องการคือคนที่มีความคิดอันถูกต้อง
พร้อมด้วยความมุ่งมั่นและอำนาจที่จะแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมและจัดระเบียบการใช้ทรัพยากรอันมากมายนี้ให้เพียงพอที่จะเลี้ยงดูคนทั้งโลกได้
เป็นสิ่งที่น่าจดจำว่าพระเยซูทรงเป็นพ่องานที่ดีเยี่ยมเพียงไหน
เช่นเดียวกับที่ทรงเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่พระองค์กระทำได้เพื่อเลี้ยงดูคนเป็นพันๆ
ทั้งชายหญิงและเด็กๆที่มาเป็นกลุ่ม กลุ่มละห้าสิบหรือร้อยคน
โดยมีคนช่วยเพียงสิบสองคน
พระองค์จะทรงกระทำแน่เมื่อพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของพระเจ้าและทรงปกครองอยู่ท่ามกลางประชากรที่หิวโหยนับล้านๆ
ภาพสะเทือนใจต่างๆที่เราได้เห็นจากประเทศเอธิโอเปีย โมซัมบิกหรือบังกลาเทศจะกลายเป็นอดีต
จะไม่มีอาหารกองเป็นภูเขาถูกปล่อยทิ้งให้เน่าเสียในโกดังของประเทศในยุโรป
จะไม่มีธัญพืชของอเมริกาถูกเผาเพราะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ
พระคัมภีร์พยากรณ์ถึงคำสาปที่จะถูกถอนออกจากพื้นโลก
และธัญญาหารอันอุดมเพียงพอสำหรับทุกคนที่ลงแรงปลูกมัน “ขอให้มีข้าวอุดมในแผ่นดินให้มันแกว่งไกวรวงอยู่บนยอดเขาทั้งหลายขอให้ผลของแผ่นดินเหมือนเลบานอน”
กษัตริย์ดาวิดกล่าวไว้ (สดุดี 72:16) “และอยู่มาในวันนั้นจะมีน้ำองุ่นหยดจากภูเขาและมีน้ำนมไหลมาจากเนินเขาและห้วยทั้งสิ้นของยูดาห์จะมีน้ำไหล” โยเอลกล่าวไว้ (
แล้วยังมีนิมิตที่อิสยาห์ได้เห็น
เป็นภาพของทะเลทรายที่ยินดีและเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณเขียวขจีดังเช่นต้นดอกฝรั่น (35:1) ลองนึกภาพของดินแดนแอฟริกาอันกว้างใหญ่
ตะวันออกกลางและเอเชียซึ่งกำลังเสียพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ไปกับการรุกร้ำของทะเลทรายที่ขยายตัวมากขึ้นทุกปีๆและคนนับล้านกำลังจะต้องอดตาย
ฝ่ายรัฐบาลเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อดึงน้ำที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาใช้ได้
ฉะนั้นจะดีเพียงไหนหนอ
หากชาวทะเลทรายได้มีส่วนร่วมในการจัดการด้านชลประทานและได้รับประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดินของพวกเขาเอง
ตัวอย่างเหล่านี้คือสิ่งอันมหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นพระอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
จะมีจำนวนคนตามเมืองใหญ่ๆลดน้อนลง
ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่จะย้ายออกไปอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าและแนวป่า
ซึ่งจะเกิดมีขึ้นตามแผนการอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก พระเจ้าไม่เคยสนับสนุนให้ผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ
ซึ่งผู้คนแสดงออกซึ่งความโหดร้ายต่อกันและกันและคนชั่วแอบซุ่มอยู่ในเงามืดเพื่อลอบทำร้ายผู้อื่น
ในทางกลับกันเมื่อโลกอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นภายใต้การปกครองของพระคริสต์
ความสมบูรณ์ของมนุษย์จะถึงขีดสุด และสติปัญญาของพวกเขาก็จะสูงขึ้นถึงขีดสุดด้วย
นี่จะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะได้ใช้ทักษะเหล่านั้นเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกทั้งมวล
ทุกๆคนจะได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า “ความพึงพอใจในการทำงาน”
“เขาจะสร้างบ้านและเข้าอาศัยอยู่ในนั้น
เขาจะปลูกสวนองุ่นและกินผลของมัน เขาจะไม่สร้างและคนอื่นเข้าอาศัยอยู่
เขาจะไม่ปลูกและคนอื่นกินเพราะอายุชนชาติของเราจะเป็นเหมือนอายุของต้นไม้และผู้เลือกสรรของเราจะใช้ผลงานน้ำมือของเขานาน” (อิสยาห์ 65:21-22)
ชาวอาหรับจะทำงานร่วมกับชาวยิว
หนึ่งในเรื่องที่น่ายินดีที่สุด
คงหนีไม่พ้นสัมพันธภาพระหว่างศัตรูคู่แค้นเก่า
นิมิตของผู้เผยพระวจนะที่มองเห็นหมาป่าและลูกแกะหากินอยู่ด้วยกันมิได้เป็นเพียงแต่ภาพอันงดงามของสัมพันธภาพที่เจริญขึ้นอีกครั้งระหว่างมนุษย์กับสรรพสัตว์ที่พระองค์ทรงสร้าง
แต่ยังเล็งถึงสันติภาพในอนาคตระหว่างคู่แค้นเก่าที่รบราฆ่าฟันกันมาตลอดหลายศตวรรษ
อิสยาห์ได้กล่าวถึงชาวอาหรับ ซึ่งจะมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อ “บอกข่าวดีถึงกิจการอันน่าสรรเสริญของพระเจ้า” (อิสยาห์ 60:6) ท่านได้เล่าถึงภาพที่คนเหล่านั้นช่วยกันสร้างกำแพงแห่งนครใหม่นี้
โดยทำงานร่วมกับพี่น้องเก่าแก่ คือชาวยิว และเลี้ยงฝูงแกะ
พวกเขากลายมาเป็นชาวไร่และชาวไร่องุ่น นั่นจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสภาพที่ทั้งสองชนชาติเป็นอยู่ในขณะนี้
สัมพันธภาพดังกล่าวคือหนึ่งในพระสัญญาของพระเจ้าที่จะต้องสำเร็จไป
พระองค์ได้กระทำพระสัญญาเหล่านี้ไว้เมื่อนานมาแล้วกับชาวอาหรับซึ่งนับเป็นเชื้อสายหนึ่งของครอบครัวของอับราฮัม
ช่วงเวลาแห่งสันติภาพนี้จะยาวนานเพียงใด
แล้วสันติภาพนี้จะยืนนานชั่วนิรันดร์หรือ
ในแง่ที่ว่าพระเจ้าทรงออกแบบโลกนี้มาให้มนุษย์อาศัยอยู่ไปชั่วนิรันดร์นั้น
คำตอบคือ ใช่ แต่อาณาจักรของพระคริสต์ซึ่งควบคุมปกครองโดยเหล่าผู้ปกครองที่ไม่มีวันตาย
จะมีประชากรส่วนใหญ่คือพวกที่ไม่เป็นอมตะ ซึ่งก็หมายความว่า ความโน้มเอียงในฐานะที่เป็นมนุษย์
สภาพความลุ่มหลงมัวเมาในบาปจะยังคงมีอยู่
นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าจำต้องกำหนดช่วงเวลาสำหรับอาณาจักรนี้ขึ้น
โดยการนับของพระเจ้า
พระองค์ทรงกำหนดเวลาไว้พันปีเพื่อใช้อบรมสั่งสอนมนุษย์โลกให้กระทำตามมาตรฐานอันบริสุทธิ์
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะมีความเข้าใจในระยะยาวถึงข้อดีหรือประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากการมีชีวิตที่เป็นอมตะ
ในที่สุดระยะเวลาพันปีนั้นก็จะต้องสิ้นสุดลง
โดยเหตุการณ์สำคัญคือการที่องค์กษัตริย์จะลงจากพระบัลลังก์อันแข็งแกร่งของพระองค์อย่างเต็มพระทัยเพื่อเปิดทางให้เหล่าผู้ที่เป็นกบฏท่ามกลางประชากรของพระองค์ได้แสดงตัวขึ้นเพื่อท้าทายพระองค์ในวาระสุดท้ายนั้น
(ดูวิวรณ์ 20) เหล่าผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์เหล่านี้จะเข้าตีกรุงเยรูซาเล็ม แต่พวกเขาจะถูกทำลายลงอย่างราบคาบ
นี่จะเป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่จะคร่าชีวิตมนุษยชาติ เหตุการณ์นี้จะเป็นหมายสำคัญของการสิ้นสุดของยุคพันปี
คือ “สัญญาณแห่งวาระสิ้นยุค”
เพื่อประชากรของโลกจะได้ทราบว่าวาระสุดท้ายนั้นกำลังจะมาถึง
เมื่อการกบฏนั้นสิ้นสุดลง
พันธกิจของพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและกษัตริย์ก็เกือบจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว
บรรดาผู้ที่ได้ตายในยุค 1000 ปีดังกล่าวจะได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากหลุมศพเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์และผู้พิพากษาของพวกเขาอีกครั้ง
“ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้วทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้นและหนังสือต่างๆก็เปิดออกหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วยคือหนังสือชีวิตและผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมดก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้นและตามที่เขาได้กระทำ” (วิวรณ์ 20:12)
เคียงคู่กับบรรดาผู้ที่ได้เป็นขึ้นจากความตาย
คือบรรดาผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องเฝ้าคอยการพิพากษาของพระคริสต์
บรรดาพวกกบฏและผู้ที่ลุ่มหลงมัวเมาในสันดานอันหยาบชั่วที่สุดจะต้องโทษถึงตาย
จะต้องถูกนำไปยัง “ทะเลเพลิง” เป็นความตายอันไม่มีทางหวนคืนชีวิตได้อีก ในทางกลับกัน
ประชากรผู้สัตย์ซื่อแห่งอาณาจักรของพระคริสต์บนแผ่นดินโลกนี้จะได้รับรางวัลของพวกเขา
นั่นคือ ชีวิตนิรันดร์ อย่างเดียวกับที่บรรดาผู้ปกครองของพวกเขาได้รับในช่วงยุคพันปีนั้น
“ขอแผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่”
ถัดจากเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้
โลกจะเป็นที่อาศัยของบรรดาชายและหญิงที่ได้รับชีวิตนิรันดร์เท่านั้น
พระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าในฐานะที่เป็นกษัตริย์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
พระองค์จะไม่มีประชากรที่เป็นปุถุชนให้ทรงปกครองอีกต่อไป และเจ้าแห่งการทำลายศักยภาพของมนุษย์
นั่นคือ ความบาปและความตาย ได้พ่ายแพ้ต่อพระองค์แล้ว
พระประสงค์ของพระองค์บนโลกนี้ได้สำเร็จลงแล้ว และ “คำอธิษฐานของพระเยซูเจ้า” ได้รับการตอบแล้ว
อัครสาวกเปาโลได้สรุปเรื่องนี้ไว้ใน 1 โครินธ์ 15
“ต่อจากนั้นจะเป็นวาระที่สุดบัดนั้นพระคริสต์จะทรงมอบแผ่นดินไว้แก่พระบิดาเจ้าเมื่อพระองค์จะได้ทรงทำลายเทพผู้ครองศักดิเทพและอิทธิเทพหมดแล้ว
เพราะว่าพระองค์จะต้องทรงปกครองอยู่ก่อนจนกว่าพระองค์จะได้ทรงปราบศัตรูทั้งสิ้นให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
ศัตรูตัวสุดท้ายที่พระองค์จะทรงทำลายนั้นก็คือความตาย…เพราะว่าพระองค์ทรงปราบสิ่งสารพัดลงใต้พระบาทของพระองค์แล้วแต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงปราบสิ่งสารพัดลงนั้นก็เป็นที่ทราบชัดว่า
ยกเว้นองค์พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ เมื่อสิ่งสารพัดถูกปราบให้อยู่ใต้พระองค์แล้วเมื่อนั้นองค์พระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง” (ข้อ 24-28)
เราอาจรู้สึกว่าการจินตนาการถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงนั้นช่างเป็นเรื่องยาก
รวมถึงการนึกภาพว่า พระเจ้า“ทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง” ด้วย
แต่นี่จะเป็นจุดสุดยอดของพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อโลกนี้ และนับเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก
“แต่แท้จริงเรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใดและโลกจะเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าแน่ฉันใด” (กันดารวิถี 14:21)
อย่าปล่อยให้อนาคตอันแสนวิเศษนี้หลุดมือคุณไป
พระเยซูกำลังจะเสด็จกลับมาแล้ว
โปรดอ่านพระคัมภีร์ของคุณและอธิษฐานด้วยใจจริงของคุณนะครับ
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก”
- แสตนลี่ โอเว่น
Stanley Owen