ลัทธิบูชาซาตาน หรือ คริสตศาสนา

ความจริงในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องมนตร์ดำ

Satanism or Christianity?

 

 

เรามาตั้งคำถามง่ายๆกัน เราควรจะเชื่อในพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงฤทธิ์อำนาจและเป็นศูนย์กลางของความดีทั้งมวลหรือไม่ พระเจ้าองค์ที่ทรงสนพระทัย และทรงห่วงใยทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมากเสียจนยอมประทานพระบุตรของพระองค์ให้มาเป็นพระผู้ช่วยมนุษยชาติให้รอดจากบาป หรือเราควรจะเชื่อมั่นในพลังเหนือธรรมชาติที่มีที่มาจากความชั่วร้ายและความมืดมิด อันเป็นพื้นฐานความเชื่อแบบลัทธิ ยังมีความเป็นไปได้อื่นๆเพียงประการเดียวที่ควรแก่การพิจารณา และนั่นคือความเชื่อที่ว่าคนเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตตนเองได้ เช่นเดียวกับสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆในโลกได้

 

แม้ว่ามนุษย์เราจะพัฒนาตนเองจนก้าวหน้าในโลกเทคนิค หรือบางทีอาจเป็นโลกเทคนิคที่พัฒนามนุษย์เราเสียเอง ความสามารถของมนุษย์ที่จะแก้ไขปัญหาหนึ่งซึ่งคอยทิ่มแทงเราทุกคนอยู่ได้นำพามนุษย์ไปค้นหาคำตอบในที่อื่นๆ ปัญหาใหญ่ของมนุษย์เราคือชะตากรรมอันหลีกเลี่ยงไม่พ้น ความเจริญที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษครึ่งที่ผ่านมานั้นได้แสดงให้เราเห็นว่าไม่ได้มีแต่เพียงความตายเท่านั้นที่มนุษย์เราปรารถนาจะกำจัดให้หมดไปจากโลก ยังมีผลของอัตราการตายด้วยที่น่ากังวลไม่แพ้กัน คนสมัยนี้อายุยืนขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ใครบ้างปรารถนาจะอยู่นานขึ้นห้าปีหรือสิบปีหากคุณภาพชีวิตของพวกเขาไม่ได้ดีขึ้นเลย

 

เท่าที่ผ่านมา ศาสนาจะมอบโอกาสในการค้นพบคำตอบของปัญหาต่างๆ อันนำมาซึ่งความพึงพอใจ  แต่สังคมในปัจจุบันนี้กลับลดความสำคัญของศาสนาลงอย่างมาก ศาสนากลายเป็นเป้าโจมตีที่นักแสดงตลกนำมาล้อเลียนอยู่เป็นนิตย์ ในขณะที่ฝ่ายผู้นำทางศาสนาแทบจะไม่แสดงปฏิกริยาใดๆเลย ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคม สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะหลายเหตุผล เหตุผลหลักคือผู้คนมองข้ามอำนาจของพระเจ้าในการแสดงพระองค์ รวมถึงพระประสงค์ของพระองค์ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล มนุษย์เราล้มเหลวในการประณามการกระทำ บาปที่ขัดแย้งกับพระบัญญัติของพระเจ้า ความคิดเรื่องการตามใจตนเองได้รับการส่งเสริมโดยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเทคโนโลยี ขณะที่หลักการแห่งศาสนากลับถูกถากถางล้อเลียน ไม่น่าเชื่อว่าความเห็นของคาร์ล มาร์กซ์เกี่ยวกับศาสนากลับเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เขาเรียกมันว่า ฝิ่นของประชาชน   

 

หากศาสนากลับกลายเป็นสิ่งที่คนเราเข้าไม่ถึง แล้วมันจะอยู่ในสังคมต่อไปได้อย่างไร  บางคนเต็มใจที่จะแยกความเป็นจริงในชีวิตและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบออกจากการรับรู้ของเขา พวกเขาใช้ความปรารถนาในสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินใจเป็นเครื่องมือปิดกั้นตัวเองจากการหาคำตอบเกี่ยวกับชะตาชีวิตของคนเรา แต่คำกล่าวอ้างของผู้ที่เชื่อในลัทธินี้ได้ให้ทางออกจากปัญหาแก่คนอื่นๆด้วย จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้คือการสำรวจข้อกล่าวอ้างเหล่านี้และเปรียบเทียบมันกับสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์  ข้ออ้างเหล่านี้จะมีน้ำหนักขนาดไหนหรือเป็นเพียงแค่สิ่งบันเทิงอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการหลีกหนีจากชีวิตจริง เป็นความต้องการอำนาจเพื่อที่จะเป็นที่ยอมรับของสังคม ความต้องการเหล่านี้ได้กลับกลายเป็นเหมือนยาเสพติดซึ่งต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆและเสพบ่อยครั้งขึ้น

 

แหล่งที่มาของความน่าเชื่อถือ

เช่นเดียวกันกับคำถามยากๆทั่วไป การจะหาคำตอบนั้น จะพบได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเท่านั้น ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ การนับถือสิ่งต่างๆ และข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีชีวิตเป็นอมตะ  มีเพียงแหล่งข้อมูลเดียวที่ได้รับการรับรองผ่านการเวลามาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ พระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้า แต่เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ถ้อยคำซึ่งเป็นความจริงนี้ แม้จะไม่เคยผิดพลาดเลย แต่คนที่อ้างว่านับถือสิ่งนี้กลับไม่ค่อยแสดงออกถึงพระคำของพระเจ้าอย่างดีเท่าที่ควร ตัวอย่างเช่น คนมากมายอ้างว่าศาสนานั้นไม่ได้ช่วยอะไร แต่หากว่าศาสนาไม่ได้ช่วยอะไรได้จริงๆ ก็คงนำไปสู่ข้อสรุปสองประการ คือ หนึ่ง คำตอบนั้นไม่อาจหาพบได้จากความเชื่อในศาสนา หรือสอง ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้นำทางศาสนาไม่ได้พยายามชี้แจงคำตอบที่ว่านี้ให้คนได้รู้จัก ไม่มีคำตอบอื่นอีกแล้ว สิ่งนี้เป็นความจริงสำหรับผู้คนที่เชื่อในลัทธิมนตร์ดำด้วยเช่นกัน กล่าวคือ มันอาจช่วยตอบปัญหาที่คาใจพวกเขาได้ หรือ มันเป็นเพียงการเสแสร้งที่คนเราปรุงแต่งขึ้นหรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ทำให้คนมาหลงเชื่อ โดยไม่อาจสรุปเป็นอื่นได้อีก

 

ความหมายต่างๆ 

แต่ความเชื่อในไสยศาสตร์ช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดจากโรคภัยและความตาย ปัญหาประชากรล้นโลกและการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติได้จริงหรือ ก่อนอื่นให้เรามาดูคำว่าลัทธิซาตานและสิ่งเหนือธรรมชาติที่อ้างถึงกัน เมื่ออ้างถึงความหมายในพจนานุกรม คำว่า สิ่งเหนือธรรมชาติจะกินความกว้างกว่า เพราะมันหมายถึง ศาสตร์ทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงความรู้หรือการใช้สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น โหราศาสตร์ พลังวิเศษ หรือเวทมนตร์คาถา ลัทธิซาตานกลับมีความหมายที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านั้น และถูกใช้เพื่อกล่าวถึงการบูชาซาตาน ผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นวิญญาณชั่วที่มีอำนาจสูงสุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

ด้วยความที่เราไม่ต้องการจะกล่าวถึงรายละเอียดของลัทธิดังกล่าวมากนัก เพราะเราปรารถนาเพียงแค่จะตรวจสอบคำกล่าวอ้างที่ผู้นิยมลัทธิดังกล่าวว่าไว้ รากศัพท์ของคำว่า เวทมนตร์คาถา” (occult) นั้น น่าสนใจและมีความสำคัญต่อการตรวจสอบของเรา มันมีที่มาจากคำในภาษา ลาติน ที่หมายถึง หลบซ่อนดังนั้นการเรียนหรือความรู้เรื่องที่เหนือธรรมชาติ รวมทั้งเวทมนตร์จึงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกเก็บเป็นความลับหรือถูกซ่อนไว้ ปกคลุมด้วยความมืดดำหรืออยู่ลึกล้ำเกินกว่าความรู้ทั่วไป เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนไว้หรือไม่ก็เป็นความลับ บางครั้งการใช้เวทมนตร์จึงถูกเรียกว่า ศาสตร์มืด  

 

ดังนั้น คำต่างๆที่กล่าวถึงข้างต้น จึงเกี่ยวข้องกับความเชื่อและการปฏิบัติที่แตกต่างกันมากมาย และคำอธิบายใดๆก็ตามคงไม่อาจรวมความหมายทั้งหมดเอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถาจะเชื่อทุกสิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ นี่เป็นเพียงความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าความเชื่อในเวทมนตร์คาถาประกอบด้วยอะไรบ้าง

 

ความเชื่อหลักคือความเชื่อในอำนาจอันแรงกล้าของความชั่วร้าย บ่อยครั้งที่สิ่งนี้ถูกมองว่ามีตัวตน คือ มีทั้งที่อยู่ในรูปของปีศาจซึ่งเราเรียกกันว่า ซาตาน ลูซีเฟอร์ หรือมารร้าย ส่วนอีกรูปหนึ่งคือ มาในรูปลำดับชั้นการปกครองของวิญญาณร้ายที่คอยควบคุมกระแสโลกและผู้คนอยู่อย่างลับๆ เพราะว่าเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ในโลก คนจึงต้องเชื่อฟังหรือยอมตาม หากขัดขืนจะนำภัยพิบัติมาสู่ตน คำเตือนอันน่าสะพรึงกลัวยังรอคอยผู้ที่ต่อต้านมันอยู่ การบูชาปีศาจโดยพวกที่นับถือลัทธิซาตานได้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับการนมัสการพระเจ้า ซึ่งเราจะเห็นว่าการเทียบเคียงดังกล่าวไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก พระเจ้าไม่ทรงประสงค์การเอาใจเพื่อหยุดยั้งพระองค์จากการพิพากษาโลกที่เต็มไปด้วยความผิด ขณะที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโลกของศาสตร์มืดและเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่ชั่วร้ายจะคิดตรงกันข้ามกับข้างต้น พวกเขาใช้วิธีการต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขา เป็นหนึ่งเดียว กับพลังชั่วร้ายนั้น ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยให้พวกเขาสมหวังและจะไม่คอยทำลายพวกเขา

 

พิธีในลัทธิเหล่านี้กลับมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับพิธีในศาสนาจนน่าตกใจ อย่างน้อยเมื่อมองดูจากภายนอก ศูนย์กลางของชีวิตทางศาสนาของผู้ศรัทธาในพระคริสต์ คือ การรับประทานขนมปังในพิธีศีลมหาสนิท ที่พวกเขาจะนำขนมปังและไวน์มารับประทานร่วมกัน ของทั้งสองอย่างเป็นสัญลักษณ์ของพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์   จุดมุ่งหมายของพิธีนี้คือเพื่อเป็นการระลึกถึงชัยชนะเหนือความบาปและความตาย ผู้เชื่อในลัทธิบูชาซาตานจะประกอบพิธีคล้ายๆกันนี้ ซึ่งเลือดจริงๆจะถูกสังเวยและดื่มกินเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ การเป็นสาวกซึ่งจะคงอยู่ระหว่างคนในกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังอำนาจชั่วร้าย เลือดนั้นจะต้องเป็นเลือดที่ได้จาก เครื่องสังเวยที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น

 

การเปรียบเทียบกับการนมัสการในทางศาสนา  

ดังเช่นที่การสังเวยและพิธีกรรมในลัทธิมีความคล้ายคลึงการปฏิบัติทางศาสนามากๆ  ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติและในอำนาจของปีศาจได้กลายมาเป็นศาสนาเสียเอง คือ เป็นการนมัสการสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์  แต่แทนที่จะนมัสการพระเจ้าแห่งความดี สิ่งที่เหนือธรรมชาติในลัทธินี้กลับชั่วร้ายอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งสองกลุ่มศรัทธามีความแตกต่างกันอย่างลิบลับ สิ่งนี้จึงทำให้คนทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย ความเชื่อในพระเจ้าผู้ซึ่งทรงห่วงใยมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างและชีวิตนิรันดร์ของพวกเขานั้น ทำให้เกิดความรัก ความเชื่อใจกันและความมั่นใจในตัวผู้ที่นมัสการพระองค์ ตรงกันข้าม การบูชาอำนาจชั่วร้ายนั้นมีที่มาจากความกกลัว คือกลัวว่าผลร้ายจะเกิดกับตนหากไม่ยกย่องนับถือสิ่งนั้นมากเพียงพอ เป็นความกลัวที่จะถูกลงโทษซึ่งจะบังเกิดกับทุกคนที่ปฏิเสธการมีอยู่ของอำนาจนั้น

 

บางครั้งก็เชื่อกันว่าความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นสอดคล้องกับความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและผู้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยไถ่บาปแก่มนุษย์ทั้งมวล ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า มีอำนาจแห่งความดีและความชั่วอยู่ มนุษย์จะต้องเลือกเอาเพียงอย่างเดียว แม้กระทั่งผู้ที่อ้างว่านมัสการพระเจ้าเท่านั้นก็ยังรู้จักอำนาจชั่วร้ายนี้ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าถูกส่งผ่านมา พวกเขายังเชื่อด้วยว่ามีวิญญาณร้ายที่เข้าสิงคนบริสุทธิ์ได้โดยที่พวกเขาไม่ยินดี และวิญญาณเหล่านั้นต้องถูกขับออกไปผ่านพิธีที่เรียกว่า การขับผี เพื่อที่คนเหล่านั้นจะสามารถกลับมารับใช้พระเจ้าได้อย่างเต็มใจอีกครั้ง ดังนั้นเราจึงต้องหาคำตอบของปัญหาต่อไปนี้กัน

 

มีพระหรือเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุดมากกว่าหนึ่งองค์หรือเปล่า  

การสืบหาข้อมูลของเรามีพื้นฐานอันแน่นอน และเราต้องการความมั่นใจในคำตอบของเรา   หากไม่พิจารณาหลักฐานอื่นใดเลย จะเห็นได้ชัดว่าการหาคำตอบจะมาจากการพิจารณาคำถามนี้อย่างละเอียดเท่านั้น กล่าวคือ หากทั้งสองฝ่ายไม่มีการแบ่งอำนาจไปฝ่ายละเท่าๆกัน ก็จะมีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่จะมีอำนาจสูงสุด เพราะโลกนี้ไม่อาจมีที่หนึ่งได้สองคน กระนั้นหลายคนก็เชื่อว่าการต่อสู้กันระหว่างสองขั้วอำนาจได้ดำเนินมานานตลอดชั่วประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ระหว่างพระเจ้าแห่งความสว่างและอำนาจแห่งความมืด แนวคิดนี้ปรากฏอยู่ในหลายๆศาสนาและธรรมเนียมในทุกทวีปในทุกยุคสมัย แนวคิดนี้เป็นที่นิยมกันมากจนหลายๆความเชื่อได้บรรจุความคิดนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาด้วย แต่การคงอยู่ของความเชื่อนี้ แม้แต่ความเก่าแก่และขอบเขตของความเชื่อก็ไม่อาจนำมาใช้เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับแนวความคิดนี้ได้ ประเด็นนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องหาคำตอบและตรวจสอบต่อไป

 

สาวกของลัทธินี้อาจจะอ้างว่าเชื่อในการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว แต่ด้วยการที่พวกเขาบูชาอำนาจชั่วเหนือธรรมชาตินั้น พวกเขาเลือกที่จะให้ความชั่วเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสำหรับพวกเขา ไม่ใช่ความดี หรือการที่โลกนี้มีสองสิ่งที่แบ่งอำนาจกันคนละครึ่งอย่างเท่าเทียม เมื่อใช้พระคัมภีร์เป็นเครื่องตรวจสอบ เราจะเห็นว่าพระคัมภีร์ไม่ยอมให้เกิดช่องว่างสำหรับแนวความคิดนี้ แต่กลับพาเราไปพบกับข้อความที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาในพระธรรมเดิมและถูกตอกย้ำอีกครั้งโดยพระเยซูคริสตเจ้าในพระธรรมใหม่ซึ่งปฏิเสธแนวคิดเรื่องการแข่งขันระหว่างอำนาจของพระเจ้าแห่งความดีกับมารร้าย เมื่อพระองค์ถูกซักถามว่าพระบัญญัติใดที่สำคัญที่สุดในกฏหมายของชาวยิว พระเยซูทรงเริ่มต้นโดยกล่าวว่า

 

ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว

(มาระโก 12:29)

 

พระบัญญัติที่พระองค์ทรงกล่าวถึงยังมีต่อไปด้วยว่าพระเจ้าไม่ทรงมีคู่แข่ง กล่าวคือ อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา(อพยพ 20:3) ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงเกรงกลัวต่ออำนาจของพระอื่นๆและขอร้องลูกๆของพระองค์ให้ติดตามแต่พระองค์ เพราะพระองค์ทรงเรียกเทพเหล่านั้นว่า มิใช่พระ(เช่นอิสยาห์ 37:19) แท้ที่จริงแล้วพระองค์กำลังสอนคนของพระองค์ว่าพวกเขาควรจะนมัสการพระองค์แบบหมดใจเพราะว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว ไม่มีพระอื่นใดที่มีอำนาจสูงสุดซึ่งปรารถนาการอุทิศตนแบบหมดใจจากมนุษย์เช่นนี้ การหันไปนมัสการสิ่งอื่นใดกลับจะเป็นการปฏิเสธอำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแท้ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดแต่องค์เดียว พระผู้ทรงเป็น พระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดินโลกเช่นที่อัครสาวกเปาโลได้บรรยายไว้ให้พวกนักปรัชญาชาวกรีกซึ่งเชื่อในการปกป้องโดยเหล่าเทพเจ้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ชอบแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้มนุษย์หันมาบูชาตนแทน (กิจการ17:24)

 

คำเตือนมิให้เข้าไปเกี่ยวข้อง

ด้วยการอยู่อย่างเคารพหลักการสำคัญเรื่องอำนาจของพระเจ้าสูงสุดนี้ พระองค์ทรงห้ามชนชาติอิสราเอลไว้ พระองค์ทรงเลือกเหล่าพยานไว้ในท่ามกลางชนชาติทั้งหลายในโลก ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่ลุ่มหลงลัทธิต่างๆและการบูชาซาตาน

เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านอย่าเรียนรู้ที่จะกระทำสิ่งพึงรังเกียจตามประชาชาติเหล่านั้น อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งให้บุตรชายหรือบุตรหญิงของเขาลุยไฟ   อย่าให้ผู้ใดเป็นคนทำนาย  เป็นหมอดู  เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์  หรือเป็นนักวิทยาคม เป็นหมอผี  เป็นคนทรง  เป็นพ่อมด  แม่มด  หรือเป็นหมอพราย ผู้ใดที่กระทำอย่างนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจแด่พระเจ้า เพราะกระทำสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้  พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจึงทรงขับไล่เขาเสียจากท่าน ท่านทั้งหลายจงเป็นคนปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เพราะว่าประชาชาติเหล่านี้  ซึ่งท่านกำลังจะไปขับไล่นั้นเชื่อฟังหมอดูและคนทำนาย  แต่ส่วนตัวท่านนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านไม่ทรงยินยอมให้ท่านกระทำเช่นนั้น (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:9-14)

 

ในเนื้อหาสำคัญนี้มีกิจกรรมหลายอย่างที่ได้ยกมาประกอบ ทั้งหมดนั้นล้วนตรงข้ามกับการนมัสการพระเจ้าทั้งสิ้น พวกมันมีลักษณะบางอย่างร่วมกัน นั่นคือ การปฏิเสธอำนาจของพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างทุกสิ่ง การกระทำที่นับได้ว่าน่ารังเกียจน่าขยะแขยงที่สุด คงหนีไม่พ้นรายการที่อยู่ต้นๆ อันได้แก่ การเอาบุตรของตนเผาไฟเพื่อเป็นเครื่องสังเวย มีแต่จิตใจที่ต่ำทรามที่สุดเท่านั้นจึงสามารถจินตนาการเรื่องอย่างนี้ได้ และมีแต่คนที่ผิดปกติและหมดหนทางเท่านั้นจึงจะทำการนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นหากเราจะเชื่อสิ่งที่รายงานมานี้ การสังเวยเด็กไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแต่ในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น ยังมีคนบางกลุ่มที่กระทำสิ่งนี้อยู่ในปัจจุบัน มีรายงานบางกระแสกล่าวว่าเหตุการณ์แบบนี้กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วย

 

และเมื่อเราพิจารณารายการที่เหลือ เราต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่ทันสมัยมาก เราพบสิ่งเหล่านี้ได้ในโลกสมัยใหม่ ไม่เพียงแต่ลัทธิวูดูเท่านั้นที่ยังมีคนนับถืออยู่ในแถบแคริบเบียน หมอเวทมนตร์ยังคงแสดงอำนาจอันน่ากลัวในหลายประเทศในแถบอาฟริกา ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ปรากฏในย่อหน้าก่อนหน้านี้แสดงถึงพิธีกรรมหลายอย่างที่ยังคงทำกันอยู่ในหลายประเทศในโลกตะวันตก ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ภูมิใจในความเจริญและความเป็นอิสระจากความเชื่อที่งมงายล้าสมัย นี่เป็นยุคแห่งความอดทนเพราะทุกคนสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามใจปรารถนา เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้การควบคุมปรากฏการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ

 

หลังจากกล่าวถึงการสังเวยเด็ก เรื่องราวในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติได้กล่าวถึงสิ่งต่อไปนี้

คนทำนาย กล่าวถึงการใช้เวทมนตร์ เพื่อเปลี่ยนหรือมีอิทธิพลเหนือชะตาของผู้อื่น

 

หมอดู พยายามที่จะค้นหาเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดรู้หรือเหตุการณ์ในอนาคตด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ โดยการใช้อำนาจที่เชื่อว่าสามารถควบคุมอนาคตของคนอื่นได้

 

หมอจับยามดูเหตุการณ์ เป็นที่รู้จักกันดี ว่าสนใจการทำนายทางโหราศาสตร์ หรือการอ่านชะตาจากดวงดาว

 

นักวิทยาคม ใช้หลากหลายวิธีในการสาปแช่ง และลวงสาวกให้หลงศรัทธา พวกเขาจะอ้างว่ามีอำนาจพิเศษ ผู้ที่ร่ายมนตร์ใส่ผู้อื่นจะถูกเรียกว่าแม่มดหรือพ่อมด

 

หมอผี อ้างตัวว่าสามารถรับส่งข้อความระหว่างโลกของคนเป็นและคนตายได้

 

คนทรง  มีความเกี่ยวข้องกับสารจากคนตาย พวกเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธีเข้าทรง การดูไพ่ทำนายอนาคต ผีถ้วยแก้วและการเขียนตามผีบอก

 

หมอพราย  สาวกส่วนมากจะเชื่อว่าพวกเขาสามารถติดต่อกับคนตายได้ ในครั้งที่มีการแปลพระคัมภีร์มาเป็นภาษาอังกฤษในสมัยศตวรรษที่ 17 มีการใช้คำว่า เวทย์” (necromancy) เพื่อใช้เรียกพิธีกรรมเชิญวิญญาณแบบต่างๆโดยรวม รูปแบบสุดโต่งของความเชื่อรูปแบบนี้จะมีการใช้ศพเป็นสิ่งประกอบในพิธีด้วย ส่วนมากเป็นสัตว์ที่ตายแล้ว แต่ในบางครั้งก็เป็นศพคนตาย เพื่อเอามาทำนายเกี่ยวกับคนเป็น 

 

ตัวอย่างของความลุ่มหลงที่คนเรามีต่อการทำนายนี้ถูกแสดงไว้ในคำทำนายของเอเสเคียล ในครั้งที่กษัตริย์บาบิโลนทรงปรารถนาจะทราบว่าควรจะโจมตีเยรูซาเล็มหรือไม่ แล้วจะมีชัยเหนือเยรูซาเล็มเช่นนั้นหรือเปล่า หรือพระองค์ควรจะโจมตีพวกคนอัมโมนเสียก่อน

 

เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่งอยู่ที่หัวถนนสองถนนกำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนูและปรึกษา ทราฟีม ท่านมองดูที่ตับ...(เอเสเคียล 21:21)

 

โดยการเสี่ยงโยนลูกธนูทั้งกำและดูว่าพวกมันจะชี้ไปทางไหน โดยการถามรูปเทพเจ้าของพระองค์และโดยการตรวจดูตับสดๆที่เอามาจากสัตว์ที่ถูกสังเวย พระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์จะได้รับคำตอบด้วยวิธีที่วิเศษนี้  สิ่งเหล่านี้มีผลต่อพระองค์ได้อย่างไร พวกมันบอกคำตอบที่แท้จริงให้พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรกัน ไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำชับคนของพระองค์ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

 

มีสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตจากรายการสิ่งที่ผู้นิยมลัทธิต่างๆกระทำกัน นั่นก็คือ ยังมีพิธีกรรมบางอย่างที่คนในสมัยนี้กระทำกัน ความกระหายใคร่รู้มิได้หยุดอยู่แต่ในประเทศที่กำลังพัฒนาบางแห่งเท่านั้น ซึ่งหลายประเทศยังคงเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเพราะการขาดพื้นฐานทางด้านการศึกษาที่ดี หรือไม่ก็ขาดความสนใจอย่างถ่องแท้ในการเรียนประวัติศาสตร์

เป็นไปไม่ได้ที่จะมองข้ามสิ่งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่มีคนไม่มากหรือไม่เป็นอันตรายกับส่วนใหญ่ ความกลัวที่ลัทธินี้และพวกบูชาซาตานได้ก่อขึ้นเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แม้จะเป็นเพียงความสนใจใน ดวงดาว ที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆ ตามที่พวกโหรอ้างว่าสามารถบอกรูปแบบของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตคนได้   สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดอันตรายได้พอๆกัน ชะตาชีวิตของคนเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของดวงดาวหรือสิ่งอื่นใดเลย

 

แล้วความคิดเรื่องขั้วอำนาจที่อยู่ตรงข้ามกันนี้มีที่มาจากไหน สำหรับผู้ที่เชื่อในเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติอันมีที่มาจากสิ่งชั่วร้าย ความเชื่อนี้ให้คำตอบแก่พวกเขาว่าทำไมในโลกนี้ถึงมีความเลวร้ายและสิ่งชั่วร้ายมากมายนัก เขาจึงสามารถหลีกหนีความรับผิดชอบที่ทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่เลวร้าย และไม่ว่าจะเกิดในกรณีใดๆก็ตาม เขาจะบอกเราว่าชีวิตนี้เป็นแค่การเตรียมตัวไปสู่โลกของวิญญาณเท่านั้น

 

กำเนิดมาร

ความคิดเช่นนี้ชวนให้เราถามคำถามพื้นๆเกี่ยวกับมนุษย์ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสิ่งที่รอบๆตัวมนุษย์ และคำเห็นของพระองค์ต่อมนุษย์ก็คือผลตัดสินต่อทฤษฎีต่างๆไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม

 

จริงเช่นนั้นหรือ ตัวอย่างเช่น ตามที่ผู้เชื่อในลัทธิเหล่านั้นอ้างว่าพลังชั่วร้ายเป็นผู้รับผิดชอบความชั่วร้ายทั้งมวลที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ พระคัมภีร์ปฏิเสธความเข้าใจนี้อย่างสิ้นเชิง แต่กลับอธิบายตรงๆว่าความรับผิดชอบทั้งหมดขึ้นอยู่กับมนุษย์ทั้งสิ้น โปรดลองพิจารณาข้อพระธรรมต่อไปนี้

 

พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินและทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป (ปฐมกาล 6:5)

 

จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมดมันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียวผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า (เยเรมีย์ 17:9)

 

ความคิดชั่วร้ายการฆ่าคนการผิดผัวผิดเมียการล่วงประเวณีการลักขโมยการเป็นพยานเท็จการใส่ร้ายก็ออกมาจากใจ

(มัทธิว 15:19)

 

มนุษย์ไม่อาจปัดความรับผิดชอบโดยการโทษสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากตัวเขาเองได้ หากไม่อยู่ในสายตาใครๆ สิ่งเย้ายวนกลับมีแรงดึงดูดมหาศาลให้ทำสิ่งผิด ซึ่งให้ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อต้องหนีจากการกระทำผิดๆที่เราก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของเราเอง เรายอมปล่อยตัวเองไปมากกว่าที่จะยอมสู้ทนกับบางสิ่งเพื่อใครบางคนด้วยความอดทน การทดลองใจนี้เกิดขึ้นจากภายในเรา และก่อตัวขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นภายนอกใดๆ  พระเยซูทรงอธิบายว่าเมื่อเรายอมปล่อยให้ความคิดชั่วร้ายเข้าครอบคลุมใจ ใจเราก็จะถูกชักจูงไปหาความรุนแรงและการทำลายชีวิตอื่น และความปรารถนาอันมิอาจควบคุมนั้นก็นำไปสู่การขโมยและการกระทำผิดทางเพศ (มัทธิว 5:21-28) ถูกแล้ว พระคัมภีร์กล่าวไว้ถูกต้องแล้วที่ว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน

 

ความบาปและความตาย

แต่พระเจ้าไม่ได้ทิ้งมนุษยชาติให้เป็นไปตามวิถีแห่งกระแสกรรมชั่วโดยมิได้เปิดเผยหนทางออกจากปัญหา หรือโดยมิได้ทรงบอกเล่าถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีเพื่อช่วยโลกไว้จากกรรมชั่วที่มนุษย์นำมาสู่โลก เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก ยังไม่มีความชั่วร้ายใดๆบนแผ่นดิน ทุกอย่างยังคงสภาพ ดีนัก(ปฐมกาล 1:31) แต่เมื่อชายและหญิงคนแรกตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆเพื่อความสุขของพวกเขามากกว่าขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตอันมีขีดจำกัดจึงกลายเป็นกฏพื้นฐานในธรรมชาติของพวกเขาไป ก่อนหน้าที่ทั้งสองจะปฏิเสธพระผู้สร้างของพวกเขา อาดัมและเอวาเคยมีชีวิตที่เป็นสุขและเป็นอมตะ แต่ความหวังนี้กลับต้องสูญสิ้นไปเมื่อพวกเขาถูกขับออกจากสวนเอเดนเพราะการไม่เชื่อฟังของพวกเขาเอง พวกเขาถูกกำหนดให้ต้องตายอันเป็นจุดสิ้นสุดของปุถุชน

 

ลูกหลานของพวกเขาก็ต้องรับสถานการณ์อันเดียวกันนี้ด้วย คือ จะมีร่างกายที่ไม่เป็นอมตะ ต้องหากินบนแผ่นดินอย่างลำบาก มีแนวโน้มที่จะกระทำบาปอยู่เสมอและต้องพบเจอกับการทดลองใจอยู่เป็นนิตย์ ไม่เว้นแม้ชายหรือหญิงคนใด ผลก็คือโลกนี้กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย และชายหญิงทุกคนต้องจบชีวิตลงโดยปราศจากข้อยกเว้น

 

แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงตั้งหน้าทำบาปกันต่อไปราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหลอกเด็ก ราวกับว่าชีวิตจะคงอยู่อย่างนี้ไปตลอด แม้จะมีหลักฐานมากมายมนุษย์ก็ยังคงเชื่อว่ามีชีวิตที่เป็นอมตะอยู่แน่ๆ ถ้าไม่ได้หมายถึงร่างกาย ก็คงหมายถึงวิญญาณ ช่างเป็นความคิดที่ฟังดูดีแต่เราจะหลอกตัวเองหากเราเชื่อเช่นนั้นจริงๆ คำกล่าวของนักปราชญ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพของคนใกล้ตายนั้นชวนสยองมาก แต่ลึกๆลงไปแล้ว ทุกคนก็ทราบดีว่าที่กล่าวไว้เป็นความจริง

 

คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลยเขาหาได้รับรางวัลอีกไม่ ด้วยว่าใครๆก็พากันลืมเขาเสียหมด ความรักของเขาไม่น้อยกว่าความชัง และความอิจฉาของเขาได้สาปสูญไปตามกันนานแล้ว ในบรรดาการที่บังเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์เขาทั้งหลายหามีส่วนร่วมอีกต่อไปไม่ (ปัญญาจารย์ 9:5, 6)

 

 คนตายไม่มายุ่งเกี่ยวกับคนเป็น และคนเป็นก็ไม่อาจติดต่อกับคนตายได้ เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว มันก็ตายและกลับเป็นผงคลี (สดุดี 104:29) ความจริงที่เป็นพื้นฐานนี้มีความนัยที่สำคัญหลายประการต่อผู้ที่เชื่อในโลกแห่งวิญญาณ และต่อผู้ที่คิดว่าข้อความต่างๆสามารถถูกส่งไปมาระหว่างยมโลกกับโลกนี้ หรือมีคนที่รับสารจากยมโลกได้

ใครก็ตามที่ฝากความหวังไว้ในระบบความเชื่อเช่นนั้นก็เท่ากับกำลังหลอกตัวเอง สิ่งเดียวที่เราจะเรียนจากคนตายได้ก็คือหากปราศจากการแทรกแซงของพระเจ้าแล้ว ความตายถือเป็นที่สิ้นสุดของคนเราและไม่มีใครอาจหนีพ้นจากความตายได้ กระนั้นเองแม้แต่ผู้ที่เชื่อว่าตนเองเป็นผู้เชื่อและศึกษาพระคำของพระเจ้า ก็ยังให้ภาพที่ตรงกันข้ามกับที่ควรจะเป็น

การขาดความรู้และความเคารพในพระเจ้าและคำสอนของพระองค์น่าจะก่อให้เกิดความกังวลอันใหญ่หลวง พระเจ้าไม่เหมือนมนุษย์ที่อาจทำผิดได้ เราไม่อาจเลือกเชื่อเพียงบางสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยและปฏิเสธสิ่งอื่นๆจากพระคำของพระองค์ ดังเช่นที่เรากระทำกับมนุษย์ผู้ทำผิดได้เสมอ  เราต้องยอมรับทุกสิ่งหรือไม่ก็ปฏิเสธพระองค์ไปเลย การปฏิเสธคำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติและชะตากรรมของมนุษย์ ก็คือการปฏิเสธพระสัญญาของพระเจ้าในเรื่องการทรงไถ่ให้พ้นจากบาปและความตาย การเชื่อว่ามีบางสิ่งในโลกที่พระเจ้ามิได้ทรงสร้างขึ้นหรือเชื่อในบางสิ่งที่ขัดแย้งกับสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยถือเป็นการลดทอนสิทธิอำนาจของพระองค์ พระเยซูทรงอ้างว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดีในแผ่นดินโลกก็ดี พระบิดาได้ทรงมอบไว้แก่พระองค์แล้ว (มัทธิว 28:18)    คำกล่าวอ้างนี้คงไม่เป็นจริงหากว่ามีอีกผู้หนึ่งที่ควบคุมอำนาจชั่วทั้งมวลอยู่ด้วยอีกคน

 

มีเนื้อความที่น่าสนใจในคำทำนายของอิสยาห์ พระเจ้าทรงตรัสกับกษัตริย์แห่งเปอร์เซียผู้ซึ่งทรงเชื่อในพระเจ้าสององค์ที่มีอำนาจเท่าๆกัน คือพระเจ้าแห่งความดีและพระเจ้าแห่งความชั่ว แห่งแสงสว่างและแห่งความมืด เพื่ออธิบายว่าพระเจ้าของอิสราเอลคือพระผู้เป็นเจ้าของโลกนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า

 

เราเป็นพระเจ้าและไม่มีอื่นใดอีกนอกจากเรา...เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด เราทำโชคและสร้างวิบัติ เราคือพระเจ้าผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น (อิสยาห์ 45:5-7)

 

ผู้สร้างความชั่ว

หากเป็นดั่งที่พระธรรมเล่มอื่นได้แสดงไว้ นั่นคือ มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบต่อความชั่วร้ายทั้งมวลที่หยั่งรากอยู่บนโลกใบนี้และมนุษย์มิอาจโทษสิ่งอื่นใดได้ แล้วพระเจ้าอ้างพระองค์ว่าเป็นผู้ก่อหายนะหรือผู้สร้างความชั่วร้ายได้อย่างไรกัน ผู้เผยพระวจนะอาโมสกล่าวว่า จะมีภัยตกอยู่ในเมืองหนึ่งเมืองใดหรือ นอกจากว่าพระเจ้าทรงกระทำเอง

(อาโมส 3:6)   

 

เราต้องเข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างถ่องแท้ ในบริบทของพระคัมภีร์ ความชั่วร้ายเป็นผลพวงของความบาป มันมิใช่ความบาปเอง และมิใช่สาเหตุของความบาปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การตอบสนองของพระเจ้าต่อความบาปนั้นมีจุดประสงค์ที่ซ้อนกันอยู่ถึงสองอย่าง คือ เพื่อเปิดเผยว่าความบาปจริงๆแล้วนั้นคือการไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า และเพื่อสอนคนบาปให้เห็นคุณประโยชน์ของการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ อย่างที่เราได้ทราบกัน การที่มนุษย์ต้องเดินทางเข้าสู่แผ่นดินที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาม  โรคภัยและความทุกข์ ความเจ็บปวดและความตาย ก็เป็นเพราะบาปประการแรกของมนุษย์เมื่อเขาได้ละเมิดกฏของพระเจ้า มนุษย์จึงตกเป็นผู้ที่กระทำผิดทางศีลธรรม แต่ผลทางกายภาพคือพระเจ้าทรงสาปพวกเขาเพราะการที่พวกเขาละเมิดคำสั่งนั้น เพื่อให้เขาจดจำถึงความดื้อดึงของตัวเองไว้เสมอ  ต่างจากแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังอำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งสนับสนุนให้ชายหญิงกระทำสิ่งบาปชั่ว พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาป พระเจ้ามิได้ทรงประสงค์ให้มนุษย์ต้องตาย พระองค์ต้องการให้มนุษย์มีชีวิต ทรงมีพระประสงค์ให้คนทั้งปวงรอด อัครสาวกเปาโลกล่าวว่าไว้ (1ทิโมธี 2:4) ความชั่วปรากฏขึ้นในโลก มิใช่เพื่อล่อลวงชายหญิงให้ต่อต้านพระเจ้า แต่เพื่อเตือนพวกเขาให้รู้ว่าพระเจ้าทรงมองการฝ่าฝืนพระคำและความบาปว่าเป็นเช่นไร และจะนำไปสู่สิ่งใด โดยธรรมชาติแล้วพวกมันเป็นสิ่งที่นำหน้าความหายนะและความตาย นอกเหนือจากการที่เป็นโทษอันสาสมแห่งการไม่เชื่อฟังแล้ว ความชั่วร้ายและหายนะเกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้เกิดสิ่งที่ประเสริฐกว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนวิถีทางแห่งความดี มิใช่ความชั่ว

 

ผู้สร้างสันติ

พระเจ้าทรงเป็นผู้ปั้นความสันติไว้ มนุษย์สามารถเรียนรู้จากพระองค์เท่านั้น ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ประเสริฐในสายพระเนตรพระเจ้า ซึ่งเขาต้องทำและเขาจะอดทนต่อสิ่งต่างๆที่มาล่อลวงได้อย่างไร พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงขจัดโลกที่เกี่ยวข้องกับความบาป

ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้และการเจ็บปวด จะไม่มีอีกต่อไปเพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว (วิวรณ์ 21:4)

 

พระสัญญานี้เกี่ยวข้องกับพันธกิจของพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระองค์ เพราะพันธกิจของพระเยซูช่วยเปิดเผยสิ่งที่ไม่ถูกต้องในระบบความเชื่อต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณหรือโลกอื่นที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสิ่งที่ไม่เข้ากับวิถีทางของพระเจ้า

 

พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะอย่างข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน จากพี่น้องของท่าน  ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15)  

 

ชนชาตินี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติทั้งหลายอันมีมลทินของพวกคนที่ไม่นับถือพระเจ้าที่อาศัยอยู่รอบข้าง เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะตรัสกับพวกเขาในหนทางที่พิเศษมาก และจะทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่พวกเขาด้วยวิธีการของพระองค์ พระองค์จะทรงส่งผู้เผยพระวจนะมาคนหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งจะกล่าวพระคำของพระองค์ นำคนให้เข้าใจอดีต อธิบายถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และเปิดเผยถึงอนาคตที่เป็นไปได้ของเขา

 

เฉกเช่นพี่น้องของเขา

ผู้เผยพระวจนะคนดังกล่าว หมายถึงพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรง ต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง (ฮีบรู 2:17) ในแง่ที่ว่าพระองค์ทรงมีสภาพทางร่างกายเหมือนๆกับมนุษย์ทุกประการ พระองค์ทรงรู้จักสิ่งล่อลวงต่างๆที่ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พระองค์อายุมากขึ้น ทรงเหนื่อยล้าและเจ็บปวด และทรงสิ้นพระชนม์ ในเรื่องเหล่านี้พระองค์ทรงเป็นเหมือนคนอื่นๆที่เคยมีชีวิตอยู่ แต่จะมีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ ขณะที่คนอื่นๆไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์กลับเชื่อฟังพระเจ้าเสมอ  คนทุกคนได้กระทำผิดและทำบาป แต่พระเยซูมิได้ทรงกระทำเช่นนั้นเลย แม้ว่าพระองค์จะอยู่ในสถานการณ์ของโลกซึ่งเป็นผลของความบาปครั้งแรก พระองค์ทรงพิสูจน์แล้วว่าทรงสมควรกับสิ่งที่ประเสริฐกว่า หากความตายคือการตัดสินของพระเจ้าต่อบาปของเรา ชีวิตที่เชื่อฟังของพระเยซูสำแดงให้เห็นว่าแม้พระองค์จะทรงยอมตายอย่างเต็มพระทัยตามพระบัญชาของพระเจ้า พระองค์ก็ไม่สมควรจะต้องตายเหมือนคนอื่นๆ  พระเจ้าจึงทรงชุบพระองค์ขึ้นจากความตาย เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้ (กิจการ 2:24)    

 

ฉะนั้นพระองค์จึงทรงเป็นหนทางรอดจากบาปและความตายสำหรับผู้ที่เชื่อพึ่งในชัยชนะของพระองค์  โมเสสบอกอิสราเอลว่าพระเจ้าจะส่งคนผู้หนึ่งมาซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาต้องฟัง ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขาสิ่งเหล่านี้แตกต่างจากการปฏิบัติของชนชาติที่อยู่รายรอบ พระคำของพระเจ้าเป็นแสงสว่างที่ส่องให้ชายหญิงได้เห็นชีวิตแบบที่ควรค่ากับพวกเขา (สดุดี 119:105) พระเยซูทรงเป็นความสว่างของมนุษย์ (ยอห์น 1:4) เป็นความสว่างของโลก (ยอห์น 8:12) การเชื่อลัทธิซาตาน ปีศาจและแม่มดเป็นศาสตร์มืดและลึกลับ พระเจ้าทรงส่งพระเยซูมาเป็นแสงสว่างส่องทางแม้จะอยู่ในอุโมงค์มืดของพวกเขา และจะทรงเปิดเผยความผิดพลาดร้ายแรงต่างๆที่คนเหล่านี้หลงงมงายกระทำไปเพราะเชื่อในลัทธิที่กล่าวมาข้างต้น

 

แต่กระนั้นบางคนยังเชื่อว่าพระเยซูเองยังทรงตรัสถึงการมีอยู่ของอำนาจซาตานที่คอยควบคุมมนุษยชาติไว้ เราจำเป็นต้องแน่ใจว่าพระเยซูทรงตรัสและกระทำสิ่งต่างๆโดยจะสอดคล้องกับพระคำของพระบิดาที่ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะในยุคก่อนหน้านั้น หากเราจะยอมรับพระองค์ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าทรงพระสัญญาไว้เมื่อโมเสสกล่าวกับชนชาติอิสราเอล โดยเตือนมิให้พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติของลัทธิเหล่านั้น

 

พระเยซูทรงเชื่อว่ามีวิญญาณชั่วที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติหรือไม่

ในระหว่างที่พระเยซูทรงออกสั่งสอน พระองค์ทรงรักษาผู้คนมากมายที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มีบันทึกไว้ว่า ได้ทรงขับผีออกเสียหลายผี (มาระโก 1:34) นี่คือจุดที่บรรดาผู้เชื่อในลัทธิต่างๆถือเอาว่าจะต้องมีพลังอำนาจมืดที่คอยควบคุมโลกอยู่อย่างแน่นอน เพราะพระเยซูเองยังทรงกล่าวถึงอำนาจดังกล่าว ดังจากข้อความที่เห็นข้างต้น

 

การตรวจสอบข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการอัศจรรย์ของพระเยซูและเหล่าอัครสาวกแสดงว่าจุดใดก็ตามที่มีการอธิบายถึงหลักฐานทางกายภาพอันชัดเจนที่ชี้ถึงสาเหตุของโรค  อาการเจ็บป่วยนั้นก็จะถูกอธิบายให้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ เช่น คนตาบอดมองไม่เห็น คนขาเสีย หรือคนหูหนวก คนที่มีแขนขาลีบลง ไม่อาจทรงตัวได้ คนที่มีเลือดไหลอยู่ตลอด หรือคนที่เป็นโรคเรื้อน แต่เมื่อไม่อาจพบหลักฐานทางกายภาพที่ชัดเจนได้หรือเป็นโรคที่หาข้อมูลมาอธิบายในสมัยนั้นไม่ได้ ผู้คนก็ถือเอาว่าวิญญาณร้ายเป็นผู้กระทำให้เกิดโรคนั้นๆ

 

ตัวอย่างหนึ่งน่าจะอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจน ในพระธรรมมัทธิว การรักษาสองเหตุการณ์ถูกนำมาเชื่อมกัน เหตุการณ์แรกเกี่ยวข้องกับคนตาบอดสองคนที่พระเยซูทรงรักษา มีบันทึกไว้เพียงว่า แล้วนัยน์ตาของเขาก็กลับเห็นดี (มัทธิว 9:30)  

 แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อชายทั้งสองจากไป ชายอีกคนถูกนำมาหาพระเยซู เขา เป็นใบ้และมีผีสิงอยู่(ข้อ 32)    แปลกมากที่ชายสองคนตาบอดเพราะตาของพวกเขาต้องการให้ถูกเปิดออก แต่อีกคนเป็นใบ้เพราะถูกผีสิง ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่าผีสิงอยู่จริง งั้นโรคทั้งสองก็ควรจะเกิดจากวิญญาณชั่วด้วยกันทั้งคู่ คำอธิบายเดียวที่ฟังดูมีเหตุผลและสอดคล้องกับคำสอนที่เหลือในพระคัมภีร์ก็คือ โรคภัยที่ปราศจากสาเหตุที่ชัดเจนถูกลงความเห็นว่าในสมัยนั้นว่าเป็นการกระทำของวิญญาณชั่ว

 

นี่ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูเองก็ทรงไร้การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ พระองค์ทรงทราบดีว่ามีพระเจ้าเดียวซึ่งพระองค์ไม่ทรงมีคู่แข่ง แต่ผ่านการอัศจรรย์ของพระองค์ พระเยซูกำลังสำแดงให้ประชาชนเห็นว่าในพระอาณาจักรของพระองค์ อายุ ความบาปและความตายจะไม่มาข้องแวะกับผู้ที่พระองค์ทรงชุบขึ้นให้เป็นเหมือนพระองค์ คือ พวกเขาจะเป็นอมตะและไม่เน่าเปื่อย และสมมุติว่าพระองค์ทรงเลือกที่จะอธิบายวิวัฒนาการทางการแพทย์ในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา บรรดาเพื่อนร่วมชาติของพระองค์ก็คงจะไม่เข้าใจแน่ๆ แต่พวกเขาเข้าใจถึงอำนาจและพระสัญญาของพระองค์ที่จะมาในอนาคตได้

 

ผลของความเข้าใจที่เกิดกับผู้ติดตามพระเยซูในสมัยหลังยุคพันธกิจของพระเยซูในอิสราเอล ก็คือ พวกเขาเข้าใจความจริงเกี่ยวกับลัทธิความเชื่อต่างๆ เวทมนตร์และการบูชาซาตาน พวกเขารู้ว่าสิ่งดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากคำกล่าวอ้างผิดๆและจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่พวกหลงผิดมุ่งที่จะสร้างขึ้นและรักษาให้คงอยู่เสมอไป พวกที่เล่นไสยศาสตร์เองก็เห็นความแตกต่างระหว่างอำนาจที่พวกเขามีกับอำนาจที่พวกอัครสาวกมี ดังตัวอย่างของชายผู้หนึ่งในสะมาเรียซึ่ง เขาได้ทำวิทยาคมให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้วเมื่อเขาได้เห็นอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขารู้ทันทีว่าอำนาจนั้นสูงส่งกว่าอำนาจที่ตัวเขามีเสียอีกและเขายังพยายามขอซื้ออำนาจวิเศษของอัครสาวกด้วย (กิจการ 8:9-24)

 

ในอีกเมืองหนึ่งคือเอเฟซัส มีคนบางกลุ่มที่หลงใหลในวิทยาคม พวกเขาหันมาเชื่อในความยิ่งใหญ่ของอำนาจที่บรรดาอัครสาวกได้รับเมื่อ พวกยิวบางคนที่เที่ยวไปเป็นหมอผีพยายามใช้พระนามของพระเยซูเจ้าขับผีร้าย...ฝ่ายผีร้ายจึงพูดกับเขาว่าพระเยซูข้าก็คุ้นเคยและเปาโลข้าก็รู้จักแต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า ผลของเหตุการณ์นี้ก็คือหลายคนที่ใช้เวทมนตร์คาถาได้เอาตำราของตนมาเผาไฟเสียต่อหน้าคนทั้งปวง (กิจการ 19:11-20)

อำนาจหนึ่งเดียว

นี่คือความสัตย์จริงอันทรงพลังเกี่ยวกับการตอบสนองต่อข่าวดีของพระเจ้า ทันทีที่คัมภีร์เวทมนตร์เหล่านั้นถูกเผา ก็ไม่อาจใช้การอีกได้ นับเป็นการแสดงความเชื่ออันมั่นคงว่าการบูชาซาตานและคริสตศาสนาไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ อย่างที่อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า ความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรมและความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร (2โครินธ์6: 14,16) ในปัจจุบันใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับลัทธิมนตร์ดำหรือผู้ที่กลัวเกรงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าปฏิเสธมันสามารถเข้าพึ่งในที่มั่นอันแข็งแกรงยิ่ง ซึ่งเราได้เห็นแล้วจากเรื่องของสาวกในเมืองเอเฟซัสในยุคแรกนั้น   พวกเขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงประทานอำนาจยิ่งใหญ่อันไม่มีวันหมดสิ้นแก่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พวกเขาระลึกได้ถึงความจริงข้อนี้ที่อิสยาห์กล่าวไว้

และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่พวกท่านว่า"จงปรึกษากับคนทรงและพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียงจ๊อกแจ๊กและเสียงพึมพำ"ไม่ควรที่ประชาชนจะปรึกษากับพระเจ้าของเขาหรือควรเขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็นหรือไปค้นพระโอวาทและถ้อยคำพยานดูเถิด แน่นอนทีเดียวคนที่ไปพูดเช่นนี้ก็เป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเสียเลย (อิสยาห์ 8:19, 20)  

นี่คือคำแนะนำที่เราอยากจะเสนอผ่านหนังสือเล่มนี้ มีเพียงอำนาจเดียวที่คุ้มค่ากับการเชื่อถือในเรื่องแบบนี้ คนตายจะให้ความหวังอะไรกับคนเป็นได้ พวกเขาจะสอนอะไรเราได้นอกจากว่าความตายเป็นสิ่งแน่นอนสำหรับทุกคนบนโลก คนทรง พ่อมด หมอผีในศาสตร์มืดเหล่านี้ ต่างก็อ้างว่าสามารถติดต่อกับคนตายในยมโลกได้ทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายมโลก แล้วก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณคนตายด้วย คนทรงไม่สามารถสอบผ่านการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คนที่อ้างเช่นนั้น ก็เป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเสียเลย นั่นคือเขาไม่มีเชื่อในพระเจ้าและไม่ถือเอาพระคำของพระองค์ไว้ ซึ่งพระคำปฏิเสธเรื่องการมีอยู่ของโลกในมิตินั้น

พระเยซู พระผู้เป็นแสงสว่างของโลก

หากเราต้องการจะทราบว่าคนเป็นยังอาจหวังในสิ่งใดได้อีก เราต้องหันหน้าสู่พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เพราะได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากตาย พระเยซูทรงเป็นอมตะและทรงรออยู่ในสวรรค์ ทรงรอวันที่พระบิดาเจ้าจะส่งพระเยซูกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง เพื่อชุบคนตายให้ฟื้น พิพากษาพวกเขาและสถาปนาพระอาณาจักรแห่งหนึ่งไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม นี่คือพระสัญญาที่เชื่อถือได้และคุ้มค่ากับการรอคอยซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่มนุษย์ มิใช่คำบอกที่คลุมเครือซึ่งจงใจปิดบังไว้ หลังการคืนพระชนม์ของพระเยซู อัครสาวกของพระองค์ออกเดินทางไปทั่วโลกในสมัยนั้น พวกท่านได้เที่ยวสั่งสอน ข่าวดีแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าพวกเขาสามารถอ้างได้ว่า การเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้ (กิจการ 26:26) สิ่งนี้ก็ยังเป็นจริงแม้ในปัจจุบัน ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการช่วยให้รอดของพระเจ้าสามารถหาอ่านได้อย่างไม่คิดมูลค่าในพระคัมภีร์ มันจะต้องกลายมาเป็นบททดสอบความคิดทั้งหลายทั้งมวลของมนุษย์ เมื่อความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับเนื้อหาของพระคัมภีร์ ความคิดเหล่านั้นก็บอกเล่าถึงความจริง หากเมื่อมันไม่เหมือนกับสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสไว้หรือขัดแย้งกันเลย ก็จัดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จริงแท้

คุณปรารถนาจะเกี่ยวข้องกับชีวิตหรือความตาย กับแสงสว่างหรือความมืด พระเจ้าทรงจำได้แต่เฉพาะผู้ที่เข้าหาพระองค์ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นความสว่างและเป็นชีวิต

ไมเคิล แอชตัน