คริสเตียนจำเป็นต้องมีนักบวชหรือไม่
คำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับโครงสร้างของคริสตจักร
Do Christians need priests?
สำหรับหลายต่อหลายคน
องค์กรและทำเนียมปฏิบัติในศาสนากลับกลายเป็นอุปสรรคขวางกันผู้คนไว้มิให้เข้าถึงซึ่งความเชื่อศรัทธาอันแท้จริง
การเชื่อว่าบุคคลสามารถนมัสการพระเจ้าจากใจได้ ไม่ว่าจะอยู่ในป่าดงพงพีหรือบนขุนเขาน้อยใหญ่ต่างๆ
แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจแห่งการสร้างสรรค์อันมหัศจจรรย์ของพระองค์ได้อย่างชัดเจน
คนเหล่านี้จะหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่หรูหราและสถานที่อันโอ่อ่าตระการตา
แต่เมื่อมีการเสนอความคิดว่าการนมัสการพระเจ้าต้องอาศัยคนกลางที่เป็นมนุษย์คอยเป็นสื่อให้และต้องเป็นไปตามพิธีการแบบที่กำหนดไว้เท่านั้น
ความกลัวของพวกเขาก็กลับกลายเป็นความจริง การปกครองตามลำดับชั้นของนักบวช
(พระคาร์ดินัล อาร์คบิชอป บิชอป พระประจำวัด และอื่นๆ)
นั้นก่อให้เกิดความสับสนต่อพวกเขาและยังแสดงให้เห็นด้วยว่ามีผู้ที่มานมัสการ 2 ประเภท
คือ นักบวชและฆราวาส และมีแนวโน้มว่าผู้ที่อ้างตัวว่าได้รับการเจิมโดยพระเจ้านั้นจะเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนทั่วไป
บรรดาศาสนิกชนต่างให้เหตุผลว่านักบวชและคริสตจักรต่างก็ทำหน้าที่ในนามของพระเจ้า
พวกเขาต่างก็ช่วยแปลและตีความพระบัญญํติของพระเจ้าที่ทรงประทานให้แก่มนุษย์ มีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่จะสามารถอวยพรขนมปังและเหล้าองุ่นได้
ซึ่งจะต้องถูกแจกจ่ายให้แก่บรรดาผู้ที่มานมัสการเพื่อเป็นการระลึกถึงการสละพระชนม์ชีพของพระคริสต์
พวกเขาอ้างว่านักบวชในปัจจุบันคือทายาทอันแท้จริงขององค์พระเยซูคริสตเจ้าและของบรรดาอัครสาวกและพระเจ้าทรงตรัสผ่านคริสตจักรอย่างที่ทรงตรัสผ่านบรรดาผู้เผยพระวจนะและอัครสาวกในสมัยศตวรรษแรกๆ
เราได้ข้อสรุปใดจากคำกล่าวอ้างข้างต้นบ้าง
พระเจ้าได้ทรงบัญชาว่ามนุษย์จะมานมัสการพระองค์ได้
ต้องผ่านคนกลางที่เป็นนักบวชเท่านั้นหรือ
มนุษย์ในปัจจุบันมีสิทธิที่จะพูดแทนพระเจ้าหรือไม่ และมีผู้นมัสการพระเจ้าอยู่ 2 ประเภทคือ
นักบวชและฆราวาสหรือ
ผู้ทรงอำนาจที่เชื่อถือได้
เพื่อที่จะตอบคำถามข้างต้นได้
เราจำเป็นต้องอ้างสถาบันอันทรงอำนาจและมีความน่าเชื่อถือ
เป็นที่วางใจตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน
นักบวชเริ่มการประกาศสั่งสอนโดยอ้างถึงอำนาจที่พวกเขาเชื่อว่าได้รับมาจากศาสนจักรของพวกเขา
ส่วนศาสนจักรเองก็อ้างว่ารับอำนาจมาจากพระเจ้าโดยตรง แต่เราจะไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างลอยๆ
เพราะเราต้องการหลักฐานที่เชื่อถือได้
พระเจ้าไม่ทรงผันแปร
แต่เดิมที
มีหลักฐานแสดงถึงคำทำนายที่กลายเป็นความจริงแล้ว (สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
โปรดหาอ่านได้จากแผ่นพับในชื่อชุด คำทำนายในพระคัมภีร์ )
“ถ้าในหมู่พวกท่านเกิดมีผู้เผยพระวจนะ...ถ้าเขากล่าวว่า‘ให้เราติดตามพระอื่นกันเถิด
(ซึ่งเป็นพระที่ท่านไม่รู้จัก) และให้เรามาปรนนิบัติพระนั้น’
ท่านอย่าเชื่อฟังคำของผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้น เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลองใจท่านดู
เพื่อให้ทรงทราบว่าท่านทั้งหลายรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่านหรือไม่” (เฉลยธรรมบัญญัติ
13:1-3)
ลองพิจารณาดูว่าข้อความข้างต้นนั้นมีนัยสำคัญเพียงใด
ในอดีตพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองผ่านชายหญิงเป็นบางคน คำพูดของพวกเขาต้องพิสูจน์ได้
เรื่องในอนาคตที่พวกเขาพูดถึงจะต้องเกิดขึ้นจริงหากพวกเขาพูดแทนพระเจ้าอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น หากสิ่งที่พวกเขาพูดกลับไปขัดแย้งกับสารของพระเจ้าที่ทรงตรัสไว้ก่อนหน้านั้น
พวกเขาก็จะเป็นผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จไปในทันที เนื่องด้วยพระเจ้าไม่ทรงผันแปร
สิ่งนี้ก่อให้เกิดหลักการสำคัญ นั่นคือ พระเจ้าทรงเผยแสดงพระประสงค์ของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์
และความจริงข้อนี้สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้โดยอาศัยการทดสอบที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ ผู้ใดก็ตามที่สั่งสอนอยู่ในปัจจุบันและคำสอนนั้นกลับขัดแย้งกับคำสอนที่พระเจ้าทรงตรัสสอนไว้ก็ไม่อาจอ้างว่าตัวเขาเองได้สั่งสอนโดยอำนาจที่มาจากพระเจ้า
ดังนั้นพระคริสตธรรมคัมภีร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่บอกกล่าวถึงที่มาของอำนาจทางศาสนาในทุกวันนี้
เพราะมันเป็นพระคำอันมีชีวิตของพระเจ้า
ข้อสงสัยเรื่องอำนาจนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการพิจารณาของเรา
ผู้เชื่อในพระคริสต์ที่แท้จริงจะยอมรับที่มาแห่งอำนาจเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ
พระคำของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็น “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” (ยอห์น
ผู้ที่ติดตามพระองค์เองก็ต้องมุ่งหวังในสิ่งเดียวกันนี้ด้วย
ดังนั้นให้เรามาศึกษาพระคำของพระเจ้าเพื่อที่จะทราบถึงเรื่องการเป็นนักบวชและโครงสร้างทางศาสนาของผู้ที่เชื่อในพระคริสต์
ด้วยสิ่งนี้
เราจะสามารถพิสูจน์ถึงข้ออ้างของสมาชิกคริสตจักรและข้ออ้างของคริสตจักรเองด้วย
การเป็นนักบวชในสมัยพันธสัญญาเดิม
ในสมัยเริ่มแรกแห่งพระคัมภีร์
พระเจ้าทรงถ่ายทอดพระคำของพระองค์โดยตรงกับชายและหญิงบางคนโดยผ่านบรรดาฑูตสวรรค์ของพระองค์
พระองค์มิได้ทรงบัญชาให้มีการออกบวชเป็นนักบวช ตราบจนกระทั่งภายหลังจากที่ลูกหลานของยาโคบได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์ซึ่งเป็นแผ่นดินที่นับถือพระอื่น
และเดินทางมาถึงยังแผ่นดินคานาอันภายใต้การนำของโมเสส ในช่วงเวลา40 ปีแห่งการรอนแรมในทะเลทราย
พวกเขาได้รับการหล่อหลอมให้กลายเป็นชนชาติที่นับถือศาสนาเดียวกัน สตีเฟนกล่าวกับผู้นำชาวยิวทั้งหลายในครั้งนั้นเกี่ยวกับ
“ชุมนุมชนในถิ่นทุรกันดาร” ภายใต้การนำของโมเสส
ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานกฏหมายไว้ให้ใช้ปกครองกันในชาติ (กิจการ
“คริสตจักร”
ไม่ใช่อาคารพิเศษที่ใช้นมัสการพระเจ้า
แต่เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่แยกตัวออกมาเพื่อติดตามพระเจ้า เนื่องจากในปัจจุบัน
คำนี้ถูกใช้ในความหมายของอาคารสิ่งก่อสร้างเสียเป็นส่วนใหญ่ การได้ทราบถึงที่มาของคำนี้อาจช่วยให้เราเข้าใจความหมายของมันมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่ใช้คำว่า Ekklesia ซึ่งเป็นคำภาษากรีก
ส่วนคำว่า “congregation” ในภาษาอังกฤษเป็นคำแปลที่ดีของคำนี้
หมายถึงกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อจุดมุ่งหมายพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง กลุ่มคำที่ว่า “congregation
in the wilderness” จึงประกอบด้วยประชากรของพระเจ้า
กฏหมายทั้งหลายของพวกเขาก็แฝงไว้ด้วยจุดมุ่งหมายทางจิตวิญญาณ
และจะต้องได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นโดยผู้แทนของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเลือกเอาเผ่าเลวีจากเผ่าทั้งหมด
12 เผ่าให้ทำหน้าที่นี้
เหตุผลที่ทรงเลือกเผ่าเลวีนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โมเสสถูกเรียกให้ขึ้นไปยังภูเขาลูกหนึ่งเพื่อไปรับกฏหมายของชาติของท่าน
ในระหว่างที่ท่านไม่อยู่ที่ค่ายนั้นเอง ประชาชนก็จัดงานรื่นเริงขึ้น
ในระหว่างงานฉลองนั้น พวกประชาชนได้มอบอัญมณีมีค่าและทองคำแก่พี่ชายของโมเสสผู้ซึ่งมีชื่อว่า
อาโรน และอาโรนได้หล่อวัวทองคำขึ้นตัวหนึ่ง เป็นอย่างรูปพระอื่นๆที่พวกเขาเคยบูชากันในอียิปต์
เมื่อโมเสสลงจากภูเขา จึงแลเห็นฝูงชนกำลังเฉลิมฉลองรูปเทพเจ้าองค์ใหม่ที่เพิ่งหล่อขึ้นนั้น
ก็เกิดความเสียใจสุดประมาณ ท่านร้องตะโกนออกไปทันทีว่า “ผู้ใดอยู่ฝ่ายพระเจ้า...”
ท่านต้องการที่จะชำระล้างใจของผู้คนที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงซึ่งเลิกนมัสการพระเจ้าและหันไปนมัสการรูปวัวทองคำนั้น
บุตรทั้งหลายของเผ่าเลวีรีบตอบทันที
โมเสสจึงพูดกับพวกเขาว่า “ในวันนี้ท่านทั้งหลายจงสถาปนาตัวเองรับใช้พระเจ้า” (อพยพ 32: 29) ชนเผ่าเลวีจึงเริ่มรับผิดชอบในการสั่งสอนชนชาตินี้ให้รู้จักเรื่องราวและหนทางของพระเจ้านับแต่นั้นเป็นต้นมา
ชนชาตินี้เองก็ได้แสดงความอ่อนแอให้ปรากฏและแสดงถึงแนวโน้มที่จะหันหลังให้พระเจ้าอยู่เสมอ
ชนเผ่าเลวีกลับได้แสดงความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้าแม้ในเวลาที่ถูกทดลองใจและบัดนี้พวกเขาต้องตัดสินอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านชีวิตของพวกเขาเองเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น
พวกเขาต้องทำหน้าที่เป็นดั่งคนกลางที่เชื่อมระหว่างประชาชนที่ไร้ความเชื่อศรัทธากับ
“พระเจ้าแห่งความเมตตา ผู้ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์”
มนุษย์ซึ่งแยกตัวออกจากพระเจ้า
พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์เข้ามาเกี่ยวพันกับชนชาติอิสราเอลอย่างใกล้ชิดเมื่อพระสิริของพระองค์สถิตอยู่กับพลับพลาเคลื่อนที่นั้น
และในภายหลังได้สถิตอยู่ในพระวิหารซึ่งเป็นศาสนสถานอันมั่งคง ซึ่งได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการนมัสการในกาลต่อมา
สำหรับสถานที่ซึ่งถือได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดอย่างที่พวกเขาเรียกนั้น เป็นที่ที่ไม่ใช่ใครๆจะเข้าไปได้
เพราะนี่เป็นห้องที่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อถวายแก่พระเจ้าโดยเฉพาะ
แม้ว่าพระองค์จะสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์
ความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์กับความบาปชั่วของมนุษย์ไม่อาจเข้ากันได้
ความบาปนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ขวางกั้นมนุษย์ออกจากพระองค์
ดังนั้นในหนึ่งปีจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้นที่มหาปุโรหิตจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนี้ได้ภายหลังจากที่ได้ผ่านการเตรียมตัวอันเคร่งครัดรอบคอบดีแล้ว
โดยอาศัยการสังเวยและพลีบูชาที่ระบุไว้ตามกฏหมายของชนชาตินี้
และอาศัยนักบวชที่มาประกอบพิธี ประชาชนจึงได้ระลึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
และระลึกได้ว่าการจะเข้าไปเฝ้าพระเจ้านั้นต้องทำอย่างจริงใจและสม่ำเสมอ
จะเป็นอื่นไปมิได้ หัวหน้านักบวชจะสวมใส่เครื่องประดับหน้าผากที่เป็นแผ่นทองคำเล็กๆซึ่งมีคำจารึกไว้ว่า
“บริสุทธิ์แด่พระเจ้า” (อพยพ 28:36) เช่นเดียวกับการแต่งกายของนักบวช
สิ่งเหล่านี้ต่างก็สะท้อนให้เห็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับทั้งนักบวชและประชาชนหากพวกเขาประสงค์จะให้พระเจ้าทรงพอพระทัย
เมื่อได้ศึกษาคำสอนในพระธรรมภาคพันธสัญญาเดิมอันเกี่ยวเนื่องกับนักบวชอย่างละเอียดแล้ว
จะพบความจริงที่สำคัญดังต่อไปนี้
1.
พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
มนุษย์จะเข้าหาพระองค์โดยตรงมิได้เพราะพวกเขามีบาป ไม่ว่าจะชายหรือหญิง
2.
ทูตสวรรค์ได้รับการคำสั่งจากพระเจ้าให้มาติดต่อกับมนุษย์
3.
การเป็นนักบวชเป็นพระบัญชาของพระเจ้าแก่มนุษย์ในครั้งที่มีกลุ่มคนที่ได้ถูกเตรียมไว้เพื่อนมัสการพระองค์ โดยอาศัยกฏหมายของพระองค์
พวกเขาได้กลายเป็นผู้ที่ควบคุมการนมัสการให้เป็นไปตามกฏของพระองค์
4.
นักบวชคือชายที่มาจากครอบครัวที่พระเจ้าทรงเลือก
ซึ่งแยกตัวออกมาจากประชากรที่เหลือ
5.
ทั้งชายและหญิงซึ่งต้องการจะกลับใจจากบาปและรับการอภัย
จำต้องอาศัยนักบวชในการช่วยพวกเขาถวายสัตวบูชา
6.
พระสิริของพระเจ้าสถิตอยู่ในส่วนในของพลับพลาที่ประทับและพระวิหาร
มีแต่มหาปุโรหิตเท่านั้นที่จะเข้าไปเฝ้าพระองค์ได้ปีละครั้งหลังการเตรียมตัวพิเศษ
7.
นักบวชจะต้องรับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ก่อนที่เขาจะมาทำหน้าที่เป็นคนกลางให้ประชาชนและเขาจะต้องถวายบูชาเพื่อชำระบาปของตัวเขาเองเสียก่อน
ความจริงอย่างสุดท้ายนี้สำคัญมาก
เพราะแม้ว่าพวกเลวีได้แสดงถึงความซื่อสัตย์ของพวกเขาในเหตุการณ์วัวทองคำ
พวกเขาก็มีบาปเช่นเดียวกับประชาชนที่เหลือ เมื่อประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลได้รับการเปิดเผยผ่านพระคัมภีร์
เราจึงทราบว่านักบวชมากมายมีส่วนร่วมในการกระทำผิดระดับชาติ
เนื่องจากพวกเขามีหน้าที่หลักในการสั่งสอน
แต่มีบ่อยครั้งที่พบว่าพวกเขากลับมีส่วนสำคัญในการนำชนชาตินี้ไปสู่การนมัสการแบบหลงผิด
นักบวชแบบที่ประชาชนใฝ่หาอย่างแท้จริง คือ ผู้ที่เป็นตัวแทนพวกเขาได้ คือ
มีความโน้มเอียงที่จะทำบาปผิดเช่นคนปกติทั่วไป
แต่ก็ยอมเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
คนเช่นนั้นคือผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระสงฆ์หรือนักบวชได้ กล่าวคือ
ได้รับเลือกโดยพระเจ้าและถูกแยกออกจากประชาชน
การเป็นนักบวชในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่
อัครสาวกเปาโลได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับกฏหมายที่พระเจ้าทรงประทานผ่านโมเสสไว้ในจดหมายถึงชาวกาลาเทียว่า
“ธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ” (กาลาเทีย
ความจำเป็นเร่งด่วนนี้สำเร็จเป็นจริงได้เมื่อพระเยซูทรงบังเกิด
พระองค์ได้รับพระนามนั้น อย่างที่ทูตสวรรค์ได้แจ้งแก่โยเซฟ สามีของนางมารีย์ ก็เพราะ “ท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา”
(มัทธิว
“เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” คือ
นิยามที่เปาโลใช้เรียกสถานะของมนุษย์ (โรม
ปุโรหิตผู้เพียบพร้อม
นี่คือบุคคลที่สมควรจะเป็นนักบวชมากที่สุด กล่าวคือ
1.
พระเยซูเสด็จเสด็จมาบังเกิดในโลกในฐานะของมนุษย์และทรงดำเนินชีวิตท่ามกลางชายและหญิงไม่ต่างจากเรา
2.
พระองค์ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระบิดาผ่านการทนทรมานที่พระองค์ทรงยอมรับโดยเต็มพระทัย
3.
พระองค์ทรงมีชัยเหนือการทดลองใจทุกประการ
ทรงดำเนินชีวิตที่ปราศจากบาปและทรงยินยอมพร้อมถวายพระชนม์ชีพของพระองค์เองอย่างเต็มพระทัยบนไม้กางเขน
4.
เพราะพระเยซูไม่สมควรจะต้องพบเจอกับความตาย
พระเจ้าจึงทรงชุบชีวิตพระองค์ให้เป็นขึ้นจากอุโมงค์ฝังพระศพและทรงประทานพระธรรมชาติใหม่แก่พระองค์ซึ่งจะไม่มีวันดับสูญหรือตายอีกเลย
บัดนี้พระองค์ทรงเป็นอมตะแล้ว ได้ทรงประทับและปกครองสวรรค์ร่วมกันกับพระเจ้า
5.
เพราะพระองค์ทรงมีความเป็นมนุษย์ร่วมกันกับเรา
พระองค์จึงทรงเวทนาสงสารเรายิ่งนักที่ต้องพบเจอกับการทดลองและปัญหาต่างๆ
6.
เนื่องด้วยพระองค์เองทรงมีชัยเหนือการทดลองเหล่านั้นมาแล้ว
พระองค์จึงสามารถประทานชัยชนะอย่างเดียวกันนี้ให้แก่ผู้ที่ยินดีที่จะเข้าส่วนกับพระองค์
องค์ประกอบเหล่านี้ได้แยกพระเยซูออกจากบุคคลอื่นๆที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มา
เพราะคุณสมบัติเหล่านี้คือคุณสมบัติของการเป็นนักบวช นักบวชชาวยิวในสมัยของพระองค์น่าจะได้เห็นว่าพระองค์ทรงกระทำหน้าที่ของนักบวชได้ดีเพียงใด
ขณะที่ตัวพวกเขาเองยังคงล้มเหลวในการปฏิบัติอยู่อย่างชัดเจน
ด้วยความหยิ่งผยองอันมืดบอด พวกเขามองไม่เห็นสิ่งใดเลย
และยังเข้าร่วมกับบรรดาผู้นำทั้งหลายของคณะนักบวชซึ่งตั้งใจจะสังหารพระองค์ เพราะพวกเขาควรจะรู้ดีกว่านี้
และควรจะมีความรับผิดชอบในฐานะนักบวชภายใต้กฏหมายอย่างจริงจังมากกว่าที่พวกเขาได้กระทำลงไป
ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงทรงเรียกพวกเขาว่า “คนนำทางตาบอด” และ “อุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว”
(มัทธิว
พระองค์จึงทรงประนามความหน้าไหว้หลังหลอกของพวกเขาอย่างรุนแรง
พระองค์ทรงเตือนผู้คนให้ระวังนักบวชเหล่านี้ เพราะพวกเขา “ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา
ชอบให้คนคำนับกลางตลาด ชอบที่อันมีเกียรติในธรรมศาลาและในการเลี้ยง” (ลูกา
คริสตจักรที่แท้จริงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ คือ
การรวมกลุ่มของชายและหญิงโดยปราศจากลำดับชั้นทางสังคมหรือศาสนาเพื่อร่วมกันนมัสการพระเจ้า
และสรรเสริญการสละพระชนม์ชีพของพระเยซูเพราะทรงเห็นแก่พวกเขา พระองค์คือหนทางเดียวที่จะนำพวกเขาเข้าใกล้พระเจ้าได้เมื่อพวกเขาอธิษฐานถึงพระองค์
พระเยซูทรงกระทำให้กฏหมายของชาวยิวสำเร็จผลไปและพระองค์เองทรงสามารถกระทำหน้าที่แทนกฏหมายเหล่านี้ได้
กฏหมายคาดหวังให้พระองค์กระทำงานต่างๆของพระองค์ แต่จุดมุงหมายสำคัญของกฏหมายนั้นกลับไม่มีนักบวชเลวีคนใดกระทำให้สำเร็จได้
ความแตกต่างระหว่างพระคริสต์และกฏหมาย
1.
พระเยซูทรงได้รับการเลือกโดยพระเจ้าให้เป็นปุโรหิต
ภายหลังจากที่อาโรนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิตภายใต้กฏหมายของโมเสส
ผู้ที่เป็นปุโรหิตจะต้องเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวเท่านั้น ซึ่งจะดำรงตำแหน่งนี้ต่อจากบิดาของตนเมื่อบิดาเสียชีวิตลง ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการเลือก “โดยความประสงค์ของมนุษย์
” มิใช่โดยพระประสงค์ของพระเจ้า
พวกเขาจึงสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
แต่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ พระองค์จึงสามารถประทับอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าได้เสมอทุกเวลา
“ปุโรหิตเผ่าเลวีนั้นมีการสืบตำแหน่งกันหลายคนเพราะความตายขัดขวางไม่ให้เขาปฏิบัติงานได้ตลอดไป
แต่พระเยซูนี้ทรงดำรงตำแหน่งปุโรหิตตลอดกาลเพราะพระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่เป็นนิตย์
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอดเพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น” (ฮีบรู
7:23-25)
2.
พระเยซูทรงยอมถวายพระชนม์ชีพของพระองค์เองให้เป็นพลีบูชา
เพื่อไถ่โทษของมนุษย์ทั้งปวง ตามที่กฏหมายกำหนดไว้
พลีบูชานั้นจะต้องกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
นักบวชชาวยิวจะต้องสำนึกถึงความบาปของตัวเองก่อน โดยพวกเขาจะต้องถวายบูชาครั้งแรกเสียก่อนเพื่อพระเจ้าจะทรงโปรดชำระตัวเขาเองก่อน
หลังจากนั้น เขาจึงจะสามารถทำหน้าที่ถวายบูชาแทนประชาชนได้
“พระองค์ไม่ต้องทรงนำเครื่องบูชามาทุกวันๆดังเช่นมหาปุโรหิตอื่นๆผู้ซึ่งตอนแรกถวายสำหรับความผิดของตัวเองแล้วจึงถวายสำหรับความผิดของประชาชน
ส่วนพระเยซูได้ทรงถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวคือเมื่อพระองค์ได้ทรงถวายพระองค์เองต่อพระเจ้า” (ข้อ 27)
3.
พระเยซูสามารถแทนที่กฏหมายนั้นได้
โดยการกระทำให้กฏหมายนั้นสัมฤทธิ์ผลไปและการเชื่อฟังพระประสงค์ของพระบิดาอย่างไม่มีข้อแม้
“แต่พระคริสต์ทรงปฏิบัติพันธกิจอันประเสริฐกว่าของปุโรหิตเหล่านั้นอย่างกับพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้กลางนั้นก็ประเสริฐกว่าพันธสัญญาเดิมเพราะว่าได้ทรงตั้งขึ้นโดยพระสัญญาทั้งหลายอันประเสริฐกว่าเก่า
เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก..เมื่อพระองค์ตรัสถึงพันธสัญญาใหม่พระองค์ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นพ้นสมัยไปแล้วสิ่งที่พ้นสมัยและเก่าไปแล้วนั้นก็จะเสื่อมสูญไป” (ฮีบรู
8:6, 7,13)
4.
พระเยซูทรงมีชัยเหนือความบาป
และผู้เชื่อที่แท้จริงก็จะได้รับการอภัยบาปเพราะชัยชนะของพระองค์
“เพราะว่าพระคริสต์…ไม่ต้องทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก
ไม่เหมือนมหาปุโรหิตที่เข้าไปในวิสุทธิสถานทุกปี… เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นพระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับตั้งแต่สร้างโลกมา
แต่ความจริงพระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุคเพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไปโดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา” (ฮีบรู
คนกลางเพียงหนึ่งเดียว
ฐานะการเป็นนักบวชของพระองค์นั้นไม่เหมือนผู้ใด
และไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถไปถึงจุดที่พระองค์ทรงกระทำจนสำเร็จนั้นได้
พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกซึ่งอาจกล่าวได้ว่ารู้จักพระองค์มากกว่าผู้ใดดังนี้ “เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิตไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) ด้วยถ้อยคำที่ไม่ต่างไปเลย
อัครสาวกเปาโลรับรองฐานะของพระองค์ว่า
“ด้วยเหตุว่ามีพระเจ้าองค์เดียว
และมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์ ผู้ทรงประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับคนทั้งปวง” (1 ทิโมธี 2:5, 6)
ยิ่งไปกว่านั้น
อัครสาวกเปาโลได้เขียนถ้อยคำเหล่านี้ลงในส่วนหนึ่งของจดหมายถึงทิโมธี
โดยกล่าวถึงเรื่องการรวมตัวกันของบรรดาผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัส
หากท่านประสงค์จะให้มีผู้เชื่อสักกลุ่มที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าในท่ามกลางมนุษย์จริง
จดหมายนี้คงเป็นโอกาสเหมาะที่ท่านจะแนะนำบรรดาผู้เชื่อให้เข้าใจเช่นที่ท่านประสงค์
แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ท่านกลับกล่าวอย่างชัดเจนว่า มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่จะกระทำหน้าที่ดังกล่าวได้
ในปัจจุบันมีหลายคริสตจักรอ้างว่ามีแต่บาทหลวงที่ได้รับการเจิมแต่งตั้งแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถอวยพรและแจกจ่ายขนมปังและเหล้าองุ่นได้
และมีแต่ท่านบิชอปเท่านั้นที่จะสามารถเจิมแต่งตั้งบาทหลวงได้
พระคริสตธรรมภาคพันธสัญญาใหม่บันทึกไว้อย่างชัดเจนถึงเหตุการณ์การแจกจ่ายขนมปังและเหล้าองุ่นที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยอัครสาวกทั้งหลายและพระเยซูเองก็ทรงร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
รวมทั้งได้บันทึกถึงหน้าที่ที่อัครสาวกได้แนะนำให้ผู้เชื่อกระทำเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์นี้
แต่ไม่มีตอนใดในพระธรรมนี้ที่ระบุไว้ว่าผู้ที่ทำหน้าที่แบ่งขนมปังและเหล้าองุ่นในพิธีรำลึกนี้จะต้องได้รับการเจิมแต่งตั้งมาเป็นพิเศษ
อันที่จริงแล้วไม่มีการกล่าวถึงบุคคลเช่นนั้นเลย
จะมีก็แต่คำสั่งที่สั่งไว้ให้ผู้เชื่อปฏิบัติตาม ว่าดังนี้ “เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใดท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” (1โครินธ์11:26)
ขอให้สังเกตว่าคำสั่งนี้ได้มอบความรับผิดชอบแก่ผู้เชื่อทุกคนไว้ด้วย
กล่าวคือ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ตามลำพังหรือมาอยู่รวมกันหลายๆคนก็ตาม
พวกเขาจะต้องหักขนมปังและดื่มเหล้าองุ่นเพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ในขณะเดียวกัน
กลับไม่มีบันทึกคำสอนในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงแบบแผนบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
เช่น
การที่คริสตจักรบางแห่งจำกัดสิทธิในการดื่มเหล้าองุ่นไว้ให้นักบวชเท่านั้น
การก่อตั้งคริสตจักรในยุคแรก
เมื่อได้เห็นว่าหน้าที่ของนักบวชชาวยิวได้ถูกแทนที่โดยพันธกิจของพระคริสต์
เราควรต้องหันไปพิจารณาว่ากลุ่มผู้เชื่อในสมัยแรกนั้นได้รวมตัวกันอย่างไรบ้าง
เหล่าอัครสาวกได้สั่งให้มีการออกบวชตามแบบอย่างที่พระคริสต์ทรงวางรากฐานไว้หรือ พวกเขาสั่งให้มีการสร้างอาคารอันวิจิตรงดงาม
ตกแต่งด้วยงานศิลปะอันล้ำค่า
และต้องมีเสื้อผ้าอย่างพิเศษรวมทั้งบทสวดพิเศษเพื่อให้การนมัสการเป็นที่ยอมรับเช่นนั้นหรือ
ผู้เชื่อจำต้องประกอบพิธีพิเศษบางอย่างเช่นนั้นหรือ
บันทึกในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ที่เกี่ยวกับคริสตจักรในยุคแรกแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นชุมชนที่กระตือรือร้น
มีชีวิตชีวาและเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเหล่าผู้เชื่อจะกระทำหน้าที่ที่แตกต่างกันไป
แต่กลับไม่มีความแตกต่างในแง่ของสถานะของพวกเขา กล่าวคือ
“เพราะว่าในร่างกายอันเดียวนั้นเรามีอวัยวะหลายอย่างและอวัยวะนั้นๆมิได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด
พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์ และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น” (โรม 12:4, 5)
ผ่านพระธรรมทั้งหลายที่ได้รับการเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจนั้น
ในขณะที่ข่าวประเสริฐของพระคริสต์กำลังเดินทางผ่านโลกในแถบเมดิเตอร์เรเนียนด้วยระบบการสื่อสารที่สร้างขึ้นโดยจักรวรรดิโรมันนั้นเอง
ก็เกิดความกังวลขึ้นว่าไม่มีผู้ใดหรือกลุ่มใดควรที่จะมาปกครองเหล่าผู้เชื่อ
หากจะแนะนำให้เป็นอย่างอื่น ก็เท่ากับเป็นการนำพระเจ้าของพวกเขาลงจากบัลลังก์
เพราะว่า
“พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร”
(เอเฟซัส
การรับใช้คือสิ่งสำคัญ
พระคำของพระเยซูที่ตรัสกับบรรดาผู้ติดตามพระองค์ควรจะเป็นเครื่องชี้นำในกรณีเหล่านี้
พระองค์ทรงสอนบรรดาอัครสาวกของพระองค์ให้เป็นผู้รับใช้ และจะไม่มีการกระทำให้เกิดความแตกต่างใดๆในแง่ของฐานะทางสังคม
พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างเรื่องการรับใช้แก่สาวกเมื่อทรงล้างเท้าให้พวกเขาในครั้งนั้น
การล้างเท้าให้ผู้อื่นนั้นถือเป็นงานชั้นต่ำของทาสที่ได้ชื่อว่าต่ำต้อยที่สุด “เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้วเพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่านด้วย” (ยอห์น
“ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกท่านว่า'ท่านอาจารย์'
ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียวและท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดาเพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียวคือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์
อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า'พระครู'
ด้วยว่าพระครูของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์”
(มัทธิว 23:8-10)
ส่วนคำสอนของพระเยซูนั้นแตกต่างไป
พระองค์ทรงสนับสนุนเรื่องความเป็นครอบครัว
และตรัสถึงความจำเป็นที่ว่าเด็กๆต้องเชื่อฟังสิ่งที่บิดามารดาสอน ฉะนั้นในกรณีนี้พระองค์กำลังตรัสถึงองค์กรทางศาสนาของพวกเขาว่าต้องลักษณะเป็นแบบอิงภารดรภาพ
คือ อยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้อง พระคำของพระองค์ที่เกี่ยวกับบิดามีความเกี่ยวโยงกับความนิยมในการเรียกผู้นำทางศาสนาว่า
“คุณพ่อ”
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นความนิยมที่ผิดแปลกเพียงใดเมื่อเทียบกับอุดมคติของพระคริสต์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อทั้งหลาย
การกระทำเช่นนั้นทั้งๆที่ทราบว่าไม่ตรงกับคำสอนของพระเยซู
ก็ถือว่าเป็นการดูแคลนความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเช่นกัน
ครอบครัวของบรรดาผู้เชื่อ
แนวคิดเรื่องครอบครัวนั้นนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทำความเข้าใจว่าผู้เชื่อในสมัยแรกรวมตัวกันอย่างไรตามที่พระเยซูและบรรดาอัครสาวกได้แนะนำ
พระเจ้าทรงเป็นบิดาของพวกเขา และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา
ซึ่งเป็นผู้นำของชุมชน แต่เช่นเดียวกับครอบครัวทั่วไปที่ต้องมีสมาชิกทั้งอ่อนวัยและสูงวัย
ซึ่งผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าจะรับผิดชอบงานต่างๆในแต่ละวันมากกว่า ในการรวมตัวกันของคริสเตียนยุคแรกเองก็มีสมาชิกทั้งที่สูงวัยและอ่อนวัย
งานบางอย่างจึงถูกมอบให้ผู้อาวุโส
แต่พวกเขาจะไม่ตั้งตัวเป็นผู้มีอำนาจเหนือคนอื่นๆที่มารวมตัวกันนั้น พวกเขาต้อง “จงตักเตือน...คนหนุ่มๆทั้งหลายเป็นเสมือนพี่หรือน้อง...และส่วนหญิงสาวๆก็ให้เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาว
ด้วยความบริสุทธิ์ทั้งหมด” (1ทิโมธี 5:1, 2)
ถูกต้องแล้ว
ในการรวมกลุ่มกันนั้นจะมีงานและความรับผิดชอบที่แตกต่างกันไปด้วยแล้วแต่กรณี
แต่การรวมกลุ่มกันในยุคแรกนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆกับการแบ่งแยกระหว่างนักบวชกับฆราวาส
ซึ่งเป็นเรื่องปกติในคริสตจักรสมัยนี้ การคัดสรรค์ผู้อาวุโส
(หรือที่เรียกว่าผู้ปกครอง) มาดูแลกลุ่มแต่ละกลุ่มนั้นเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกทั้งหลายในที่นั้น
เปาโลเขียนถึงทิตัสซึ่งยังอยู่ในเกาะครีตโดยกำชับเขาให้ “ตั้งผู้ปกครองไว้ทุกเมืองที่ข้าพเจ้ากำชับท่าน” (ทิตัส 1:5) เปาโลสามารถให้รายชื่อของคนที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองได้
แต่สิ่งนั้นจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เชื่อในเรื่องใดๆหรือแม้แต่ในอนาคตกาล
ดังนั้นงานนี้จึงต้องตกเป็นงานของสมาชิกในกลุ่มนั้นๆจะเป็นผู้เลือกเอง เปาโลกระทำแต่เพียงให้คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นผู้ปกครองไว้เป็นเกณฑ์ในการเลือกสรรค์เท่านั้น
“คือตั้งคนที่ไม่มีข้อตำหนิ เป็นสามีของหญิงคนเดียว บุตรของเขามีความเชื่อและไม่มีช่องทางให้ผู้ใดกล่าวหาว่าบุตรนั้นเป็นนักเลงหรือเป็นคนดื้อกระด้าง” (ข้อ 6)
ผู้ปกครอง ผู้ดูแล และมัคนายก
บางครั้งผู้อาวุโสเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า “ผู้ดูแล” หรือ bishops
(หมายถึง คนเลี้ยงแกะหรือผู้ดูแล) โดยมีหน้าที่รับผิดชอบต่อพี่น้องผู้เชื่ออย่างที่เราได้ทราบมาแล้วข้างต้น
บทบาทของผู้ดูแลสามารถเทียบเคียงได้กับงานของคนเลี้ยงแกะ
เขาไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกับพระเยซูในชุมชนดังกล่าว แต่เขาต้องแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแก่
“ฝูงแกะ”
ซึ่งเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของฝูงนั้นด้วย
งานอื่นๆ รวมถึงงานรับใช้
จะถูกมอบหมายให้แก่ชายและหญิงผู้ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะกระทำงานนั้นให้สำเร็จไปได้
ขณะที่ความรับผิดชอบของผู้อาวุโสจะมุ่งเน้นไปทางความจำเป็นทางจิตวิญญาณของเหล่าผู้เชื่อ
ส่วน “มัคนายก”
จะดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นทางร่างกายเป็นหลัก
ในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักบวช
ส่วนงานต่างๆของผู้ปกครอง
ผู้ดูแลและมัคนายกไม่ได้แสดงว่าเป็นงานของนักบวชแต่อย่างใด ชื่อส่วนงานต่างๆที่มีอยู่ในคริสตจักรก็มิใช่คำศัพท์ที่มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์เช่นกัน
ทุกส่วนล้วนถูกคิดขึ้นใหม่โดยคนเราทั้งสิ้น
ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์ที่อัครสาวกได้กล่าวถึงอาคารแบบที่เหล่าผู้เชื่อควรจะมาพบกัน
จริงๆแล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยซ้ำที่อัครสาวกเปาโลได้เข้าร่วมในการนมัสการกับกลุ่มผู้เชื่อซึ่งมาพบกันที่ริมแม่น้ำ
ทุกสิ่งที่ท่านจะกล่าวถึงผู้เชื่อกลุ่มนี้
รวมถึงกลุ่มอื่นๆซึ่งใกล้เคียงกันนี้ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติมากขึ้น แม้แต่เสื้อผ้าแบบพิเศษใดๆก็ไม่เคยถูกกล่าวถึง
ครั้งเดียวที่มีการกล่าวถึงแนวทางการแต่งกายของผู้ที่มานมัสการก็คือครั้งที่กล่าวถึงเรื่องการสวมใส่เสื่อผ้าที่มีสีสันฉูดฉาดบาดตาหรือใช้วัสดุที่มีราคาแพงว่าเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
(ดังตัวอย่างใน1 เปโตร 3:3, 4)
ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างนักบวชและฆราวาสในหลายๆคริสตจักรที่พบได้ในปัจจุบันก็คือนักบวชจะได้รับเบี้ยเลี้ยงชีพสำหรับงานที่ทำ
ในศตวรรษแรก
ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านจิตวิญญาณของชุมชนสามารถรับความช่วยเหลือทางด้านวัตถุหรือเงินทองได้
อัครสาวกเปาโลได้เขียนถึงชาวโครินธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วย ท่านกล่าวว่า “เราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินและดื่มหรือ…พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ว่าคนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐนั้น” (1 โครินธ์
9:4-14) แม้กระนั้น
เปาโลก็ตระหนักดีถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการทุจริตขึ้นในชุมชนเพราะผลประโยชน์ที่มาจากการเจือจานของผู้คนเป็นเหตุ
ท่านจึงประกาศตัวว่า “แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้…ข้าพเจ้าได้ประกาศโดยไม่คิดค่าจ้างเพื่อจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในข่าวประเสริฐนั้นอย่างเต็มที่…ข้าพเจ้าทำอย่างนี้เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น” (ข้อ 15-23)
ประวัติศาสตร์คริสตจักร การจ่ายเงินให้นักบวชกระทำให้ความกังวลของเปาโลกลับกลายเป็นจริงขึ้นมา ในสมัยกลาง
ศาสนจักรคาทอลิกต้องเผชิญกับการทุจริตอย่างรุนแรงและนักบวชหลายรายมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยและมีอิทธิพลมหาศาลเมื่อเทียบกับสมาชิกอื่นๆในชุมชนของพวกเขา
ปัญหานี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันด้วยเช่นกัน เรื่องราวฉาวโฉ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเงินของคริสตจักรมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ
การหันหน้ากลับสู่หลักการในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่ที่ว่าด้วยเรื่องของ “สิทธิ์ที่จะกินและดื่ม”
สำหรับผู้ที่ “ประกาศข่าวประเสริฐ”
น่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่กล่าวถึงข้างต้นได้
งานของบรรดาอัครสาวก
เราต้องระลึกไว้ว่าการเตรียมการต่างๆในคริสตจักรแต่ละแห่งเพื่อคัดสรรผู้ที่จะมาสั่งสอน
(อาทิ ผู้รับใช้)จากสมาชิกในชุมชนของตนนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดาอัครสาวกของพระเยซูยังคงทำงานกันอย่างขยันขันแข็งในคริสตจักรที่เพิ่งจะได้รับการสถาปนาขึ้น
เนื่องด้วยในสมัยนั้นยังไม่มีแหล่งรวมพันธกิจและคำสอนต่างๆของพระคริสต์ซึ่งคงความน่าเชื่อถือเท่าปัจจุบัน
(เพราะบรรดาหนังสือพระกิตติคุณทั้งหลายยังไม่ได้ถูกรวมเข้าเป็นเล่มเดียวกันจนกระทั่งตอนปลายของศตวรรษที่
1 หลังการประสูติของพระเยซู)
บรรดาอัครสาวกอาศัยเพียงการเรียนรู้จากชีวิตของพระคริสต์
ความตายและการเป็นขึ้นของพระองค์เท่านั้นที่ได้กลายมาเป็นประสบการณ์ของพวกท่าน แต่พระเจ้าได้ทรงเทฤทธานุภาพของพระองค์ลงบนตัวพวกท่านเหล่านั้น
นั่นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งนี้เองคือสิ่งที่ทำให้พวกท่านสามารถระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำและทรงสั่งสอนพวกท่านไว้
และโดยอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้เอง พวกท่านจึงสามารถกระทำการอัศจรรย์มากมาย
อันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนเห็นว่าสิ่งที่ท่านสอนนั้นเป็นจริงทุกประการ
เช่นเดียวกับที่พระเยซูได้ทรงกระทำ
ทันทีที่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ได้รับการรวบรวมเข้าจนครบ
ประกอบกับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
เราจึงมีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบรรจุความรู้ทั้งมวลเกี่ยวกับการช่วยให้รอดของพระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงประทานให้เราเป็นของขวัญ
พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์...“ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2ทิโมธี
ผู้เชื่อแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าสำหรับท่าทีที่เขาตอบสนองต่อพระคำของพระองค์
ดังเช่นที่พระธรรมสดุดีว่าไว้ “แน่ทีเดียวไม่มีคนใดไถ่พี่น้องของตนได้หรือถวายค่าชีวิตของเขาแด่พระเจ้า” (49:7) ผ่านพระคำของพระเจ้า
เราเรียนรู้ถึงของขวัญแห่งการทรงไถ่ของพระองค์ คนอื่นอาจช่วยให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น
แต่เมื่อเราซาบซึ้งถึงพันธกิจแห่งการช่วยให้รอดของพระคริสต์และรู้ว่าเหตุใดการตอบสนองต่อการทรงเรียกด้วยความยินดีจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
ก็เท่ากับว่าเราได้ยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
เพราะคนกลางหนึ่งเดียวของพระองค์มิใช่คนอื่นไกล หากแต่เป็นพระเยซูคริสตเจ้านั่นเอง
การสืบต่อความเชื่อโดยอัครสาวก
ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เพราะเหล่าอัครสาวกเป็นผู้นำคริสตจักรในขณะนั้น
พวกท่านกระทำการต่างๆแทนพระคริสต์ตามขอบเขตแห่งประสบการณ์ในพระคริสต์ของพวกท่านจะอำนวย
นอกจากนี้พวกท่านยังเทศนาสั่งสอนพระคำของพระเจ้าอย่างเดียวกับที่พระเยซูทรงสั่งสอนพวกท่านมา
เหล่านี้เป็นความจริง
แต่สำหรับเหล่าอัครสาวกแล้ว
แม้พวกท่านจะได้รับฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กระทำการอัศจรรย์ต่างๆได้
แต่กลับไม่เคยแสดงตนเป็นคนกลางให้มนุษย์ออย่างที่นักบวชในสมัยนี้อ้างตัวว่าเป็น
เราได้เห็นแล้วว่าการที่พวกท่านได้รับฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เพราะพระเจ้าทรงพระประสงค์ที่จะรับรองว่าบรรดาสิ่งที่พวกท่านได้เชื่อนั้นเป็นความจริงที่เชื่อถือได้
ซึ่งอำนาจเช่นนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไปเมื่อพระคัมภีร์ได้รับการรวบรวมเข้าจนครบเล่ม เช่นเดียวกันการหาทายาทมาสืบทอดบทบาทของบรรดาอัครสาวกให้คงอยู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไป
จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความตอนใดในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการสืบทอดตำแหน่งของอัครสาวกสู่คนรุ่นถัดมา
บางครั้งมีการอ้างเอาว่า
การฝึกฝน “การวางมือ” ช่วยให้เราได้ผู้ที่เหมาะสมจะมาเป็นผู้สืบทอดของเหล่าอัครสาวก
แต่คำข้างต้นนั้นมีความหมายหลายประการ และมีความหมายบางประการที่ไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องการสืบทอดตำแหน่งอัครสาวก
เช่น เป็นการแสดงถึงของประทานจากพระเจ้า หรือเป็นการให้พรแก่ผู้อื่น
เมื่อโมเสสได้รับคำสั่งมาโดยตรงให้แต่งตั้งโยชูวาขึ้นเป็นผู้นำแทนท่าน
พระเจ้าตรัสว่า “จงเอามือของเจ้าวางบนเขา...เจ้าจงกำชับเขาต่อหน้าชุมนุมชน”
(กันดารวิถี 27:18,19) ประวัติศาสตร์ของชาตินี้แสดงให้เห็นในไม่ช้าว่าประชาชนได้มองโยชูวาดังเช่นที่พวกเขาเคยมองโมเสส
หากการวางมือในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่มีความหมายพิเศษเพียงประการเดียว
เราคงจะได้เห็นอัครสาวกทั้งหลายวางมือลงบนผู้ที่พวกท่านเห็นควรให้มาเป็นอัครสาวกแทนหลังจากที่พวกท่านสิ้นชีวิตลง
แต่ในความเป็นจริงนั้น อัครสาวกยากอบได้สิ้นชีวิตลงไม่นานหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
(กิจการ 12:2) และไม่มีการกล่าวถึงการหาผู้ใดมาแทนที่ท่าน
เราได้ทราบแล้วว่าการเลือกสรรค์และการแต่งตั้งผู้ปกครองจะเป็นไปโดยอาศัยการยอมรับและความเห็นชอบจากที่ประชุมของคริสตจักรนั้นๆ
มิใช่จากความ เห็นของอัครสาวก
ภายหลังยุคอัครสาวก
หลักฐานจากคริสตจักรสมัยแรกบ่งชี้ว่ามีการแบ่งแยกพวกผู้ดูแลออกจากผู้ปกครองในช่วงประมาณตอนกลางของศตวรรษที่สองหลังการประสูติของพระเยซูเจ้า
บรรดาผู้ดูแลได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นผู้ปกครองหรือเจ้านายมากกว่าที่จะเป็นผู้รับใช้
ในเวลาไล่ๆกันนั้นเองมีหลักฐานของการปรากฏตัวของรูปแบบของนักบวชอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างไป
ซึ่งรับเอาลักษณะบางประการของนักบวชชาวยิวมา
พิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ตระการตาซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพิธีการทางศาสนาและการบวชของบาทหลวงในศาสนจักร
ในไม่ช้าก็เกิดมีอาคารแบบพิเศษ เสื้อผ้าแบบพิเศษและศัพท์เฉพาะเพื่อแสดงลักษณะทางศาสนาออกมาให้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นเช่นในปัจจุบัน แม้ว่าจะขัดกับหลักคำสอนในพระคัมภีร์
ปรากฏการณ์นี้ก็ไม่ถือว่าผิดคาดเท่าใดนัก
เพราะแม้แต่ในสมัยที่เหล่าอัครสาวกยังคงทำงานกันอย่างแข็งขัน ก็ได้ปรากฏว่ามีการต่อต้านธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวและของพวกที่นับถือผีที่พยายามจะแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนคริสเตียนซึ่งเพิ่งจะเริ่มต้นอยู่เนืองๆ
พระเยซูและเหล่าอัครสาวกได้เตือนเราถึงการปรากฏตัวของ
“ผู้ที่สั่งสอนผิดๆ” “ผู้ทำนายเทียมเท็จ” และแม้แต่
“ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพระคริสต์” ผู้ซึ้งจะหลอกลวงคนมากมายและพาสาวกมากมายให้หลงทางไป
(มัทธิว 24:4,5,11,24)เปาโลกล่าวไว้ว่าผู้ที่สั่งสอนผิดๆจะปรากฏขึ้นมาจากภายในคริสตจักรเอง
(กิจการ
คำเตือนเหล่านี้ยังคงความสำคัญแม้ในทุกวันนี้
เพียงแค่เราย้อนมองกลับไปในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร
เราก็จะเห็นได้ว่าความเชื่ออันบริสุทธิ์และการปฏิบัติตัวอย่างง่ายๆของอัครสาวกและบรรดาผู้เชื่อทั้งหลายได้เสื่อมทรามลง
หนทางเดียวที่จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเรากำลังเดินมาถูกทางก็คือการลองสำรวจความเชื่อและการปฏิบัติสมัยใหม่โดยอาศัยคำสอนในพระคัมภีร์เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
เครื่องบูชาอันมีชีวิต
เมื่อได้เรียนรู้ว่าผู้เชื่อในปัจจุบันไม่มีบทบาทหน้าที่อย่างนักบวชในสมัยก่อน
คือ ต้องคอยช่วยวิงวอนและถวายเครื่องบูชาในนามของผู้อื่น
เรามีแต่พระเยซูคริสตเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นนักบวชในคริสตจักรของพระองค์ อย่างไรก็ตาม
ยังมีแง่มุมบางประการที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของบทบาทหน้าที่ของนักบวช ซึ่งผู้เชื่อในปัจจุบันต้องกระทำให้สำเร็จไปด้วยตัวของเขาเอง
อย่างเช่นที่ เผ่าเลวี ได้ถูก “พรากออก”
จากชาวอิสราเอลที่เหลือ เพื่อมารับใช้พระเจ้าภายใต้กฏหมายของโมเสส
ดังนั้นผู้เชื่อในพระคริสต์จะต้องถูก “พรากออก” จากโลก
เพื่อจะได้เป็นกลุ่มผู้ที่ถูกเลือกสรรไว้ให้มาถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า
“เหตุฉะนั้นให้เราถวายคำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าตลอดไปโดยทางพระองค์นั้นคือคำกล่าวยอมรับเชื่อพระนามของพระองค์” (ฮีบรู
“ถวายตัวของท่านแด่พระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย” (โรม 12:1)
ข้อความเหล่านี้สอนเราให้รู้ว่าไม่มีเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่
“บริสุทธิ์” และสิ่งที่ “เป็นฝ่ายโลก”
เพราะชีวิตคริสเตียนทั้งครบนั้นได้อุทิศไว้เพื่อความบริสุทธิ์เท่านั้น
สิ่งที่มีความสำคัญเป็นพิเศษก็คือผู้เชื่อได้รับการสอนให้ “แสดงออก”
ไม่มีนักบวชคนใดจะทำสิ่งนี้แทนพวกเขาได้ ก่อนที่พวกเขาจะหันมาเชื่อพระเจ้า
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพวกที่นับถือผีหรือเป็นชาวยิว
หน้าที่การถวายเครื่องบูชาถือเป็นสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบของนักบวชเท่านั้น แต่ในปัจจุบันสาวกของพระเยซูจะต้องถวายเครื่องบูชาโดยการปฏิเสธความต้องการของตัวเขาเอง
เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งการยอมรับพระเยซูและการเสด็จมาปกครองพระอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกนี้ในอนาคต
พวกเขายอมละทิ้งสิ่งต่างๆที่เป็นของโลกเพราะเห็นแก่โลกใหม่ที่กำลังจะมาถึงนั้น
การยอมสละพระชนม์ของพระเยซูเพียงครั้งเดียวเพื่อประโยชน์แก่คนทั้งปวงที่ประสงค์จะรอดโดยพระนามของพระองค์นั้นถือเป็นเครื่องประกันว่าชีวิตแห่งการรับใช้ในวันนี้จะได้รับการตอบแทนเมื่อพระองค์เสด็จกลับมายังโลกใบนี้อีกครั้ง
โดย ไมเคิล
แอชตัน