พระคริสต์จะเสด็จมา
!
คำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระองค์
Christ is Coming!
ครั้งหนึ่งผู้คนในวงการศาสนาเคยเชื่อกันว่าพระเยซูจะไม่เสด็จกลับมายังโลกอีก
ในปัจจุบันยังมีผู้คนที่เชื่อเช่นนี้อยู่มาก
แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคนที่หันมาเชื่อว่าการเสด็จมาครั้งที่สองเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่ง
ชาวคริสเตเดลเฟียน
สอนอยู่เสมอว่าการเสด็จกลับมายังโลกของพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
เพื่อที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จไป
แผ่นพับฉบับนี้จะเล่าถึงคำสอนในพระคัมภีร์ที่ว่าด้วยการเสด็จมาครั้งที่สอง
รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆที่จะนำไปสู่เหตุการณ์อัศจรรย์นั้นและเหตุผลที่พระเป็นเจ้าจำเป็นต้องเสด็จกลับมา
คำสอนในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
มีบางคนได้ลองนับดูว่าพระธรรมใหม่กล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยเพียงใด
พวกเขานับจำนวนครั้งที่กล่าวถึงได้ 318 ครั้ง
ซึ่งเมื่อลองเทียบกับเรื่องความรักของคริสเตียนดูแล้ว พบว่ามีเพียง 115 ครั้งเท่านั้น
จากการเปรียบเทียบข้างต้น
คุณคงจะทราบแล้วว่าเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูนั้นสำคัญเพียงใด มีผู้ที่ร่วมประพันธ์พระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่หลายรายกล่าวถึงเรื่องนี้ในงานเขียนของพวกเขา
พระเยซูได้ตรัสถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าและการเสด็จมาครั้งที่
2 ของพระองค์
ทรงกล่าวคำอุปมาหลายเรื่องแก่ผู้ที่คิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาปรากฏในปัจจุบันทันใด
พระองค์ทรงยกตัวอย่างของเจ้านายองค์หนึ่ง ซึ่งต้องไปยังแดนไกล “เพื่อจะรับอำนาจมาครองแผ่นดินแล้วจะกลับมา” (ลูกา 19:12) มากกกว่าหนึ่งครั้งที่พระองค์ตรัสถึงการเสด็จมาของบุตรมนุษย์
(เช่นใน มัทธิว 24:27, 30, 37, 39, 48; 25:27; 26:64) และเมื่อตรัสย้ำถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ในแง่ของจิตวิญญาณซึ่งพวกสาวกไม่อาจมองเห็นพระองค์ได้
นี่เป็นการเดินทางร่วมกันไป “จนกว่าจะสิ้นยุค”
พระองค์ได้ทรงแสดงให้พวกเขารู้ว่าพระองค์จะอยู่กับพวกเขาเสมอไป
คำพยานของเหล่าอัครสาวกเองก็เรียบง่ายตรงไปตรงมาไม่แพ้กัน
พวกเขาได้รับการสั่งสอนโดยพระอาจารย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย
ซึ่งคอยสั่งสอนพวกเขาในช่วงสี่สิบวันสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
พระองค์ทรงสอนเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า การกอบกู้อาณาจักรอิสราเอลขึ้นอีก
(กิจการ 1:3, 6) นับเป็นการเปิดเผยพระองค์หลังการคืนพระชนม์ซึ่งกระทำให้คำทำนายทั้งหมดในพระธรรมภาคพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับพระองค์กลายเป็นจริง
(ลูกา 24:27) เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ที่ภูเขามะกอกเทศ
พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาอธิบายให้สาวกฟัง
“ชาวกาลิลีเอ๋ย
เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้นจะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
(กิจการ
จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่เหล่าสาวกเริ่มออกไปสั่งสอนประชาชนตามท้องถนนในกรุงเยรูซาเล็มถึงเรื่องที่ว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมายังโลกอีกในฐานะของกษัตริย์
เปโตร ออกนำในการประกาศเมื่อท่านกล่าวว่าหลุมศพไม่อาจกักขังพระเยซูไว้ได้
ท่านอ้างถึงพระธรรมสดุดี 110:1 ซึ่งพระเยซูเองก็เคยตรัสอ้างถึง
เพื่อจะบอกว่าพระองค์เสด็จกลับสวรรค์จนถึงเวลาที่ศัตรูทั้งหลายของพระองค์จะถูกปราบลง
(
ขอให้เรานึกถึงประเด็นสำคัญด้วยว่าคำสอนในพระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อบอกเราให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
แต่ประกอบด้วยความมุ่งหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น
นั่นคือเพื่อให้เราใช้ความรู้ที่ได้รับมานี้เตรียมตัวเราเองให้พร้อมรับกับเหตุการณ์ที่จะมาถึง
“เหตุฉะนั้นให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงทราบแน่นอนว่าพระเจ้าได้ทรงยกพระเยซูนี้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขนนั้นทรงตั้งขึ้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระคริสต์…จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา{พิธีใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาป}ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคนเพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย” (กิจการ
2:36, 38)
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่เราได้พิจารณาความจริงในพระคัมภีร์เรื่องการเสด็จกลับมาของพระองค์
คือ การที่เราจะลองสำรวจใจของเราดู
ข้อเขียนอื่นๆในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่
แล้วข้อเขียนของผู้ประพันธ์พระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่รายอื่นๆเป็นอย่างไรกันบ้าง
ให้เรามาพิจารณาจดหมายในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่ดูสักฉบับหนึ่ง
จดหมายฉบับแรกที่เปาโลเขียนถึงชาวเธสะโลนิกา
ให้สังเกตดูว่าท่านเน้นถึงเรื่องความจริงที่ว่าพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมายังโลก :
“และรอคอยพระบุตรของพระเจ้าจากสวรรค์…ผู้ทรงช่วยให้เราพ้นจากพระอาชญาที่จะมีมาภายหน้านั้น” (
“เพราะอะไรเล่าจะเป็นความหวังหรือความชื่นชมยินดีหรือสิ่งภูมิใจจำเพาะพระพักตร์พระเยซูคริสตเจ้าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาก็มิใช่ท่านทั้งหลายดอกหรือ” (
“เพื่อพระองค์จะได้ทรงชูใจของท่านไว้ให้ดำรงอยู่ในความบริสุทธิ์ปราศจากข้อตำหนิ...เมื่อพระเยซูเจ้าของเราจะเสด็จมากับธรรมิกชนทั้งปวงของพระองค์” (
“ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง” (
“วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน..” (5:2)
“ขอให้องค์พระเจ้า...ทรงรักษาทั้งวิญญาณจิตใจและร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียนจนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสด็จมา..” (5:23)
คุณสามารถสืบเรื่องนี้เพิ่มเติมต่อได้หากต้องการ
ความสำคัญของการเสด็จมาของพระเยซูยังคงดำเนินต่อไปในจดหมายต่างๆที่อยู่ในพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่
ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิตประจำวันแบบคริสเตียนด้วย
เพราะว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง
ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องในชีวิตนี้ที่เราต้องใส่ใจดูแล ซึ่งเราเองไม่ควรละเลย
คำสอนในพระธรรมภาคพันธสัญญาเดิม
บุคคลที่นับจำนวนคำกล่าวที่กล่าวถึงเรื่องการเสด็จกลับมาได้
318 ครั้งในพระธรรมใหม่ ยังย้อนกลับไปสืบค้นในพระธรรมเดิมด้วย
และพบว่ามีถึง 1,527 แห่งที่กล่าวถึงเหตุการณ์เรื่องหนึ่งจากบรรดาเหตุการณ์ที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
นั่นคือ การเสด็จกลับมาของพระคริสต์ในฐานะกษัตริย์ ขอให้เรารู้ว่าตัวเลขที่ได้นั้นไม่สำคัญ
ความเห็นเรื่องตัวเลขนี้มีได้แตกต่างตามแต่จะคิด
แต่สิ่งนี้คงจะทำให้ผู้อ่านต้องทึ่งว่ามีหลักฐานอ้างอิงมากถึง 5 เท่าที่กล่าวถึงการเสด็จมาครั้งที่สอง
บันทึกอยู่ในส่วนของพระคัมภีร์ที่คนเรามักจะไม่ได้อ่าน
ความจริงของเรื่องนี้ก็คือ
พระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่จะเป็นที่เข้าใจได้ก็ต่อเมื่อได้มีการศึกษาพระธรรมภาคพันธสัญญาเดิมมาแล้ว
พระธรรมทั้งสองภาคต่างต่างสอดคล้องสนับสนุนกันและกันในแง่ของการแสดงออกถึงความจริงที่พระเจ้าทรงเผยแสดงต่อมนุษย์
สิ่งที่พระธรรมเดิมทำนายว่าจะเกิด ก็จะมาสำเร็จเสร็จสิ้นลงในพระธรรมใหม่ แต่ก็ยังมีคำทำนายอีกไม่น้อยในพระธรรมเดิมที่ยังไม่เกิดขึ้นตามที่กล่าวไว้
ลองพิจารณาพระสัญญาต่างของกษัตริย์องค์หนึ่งที่จะมาปกครองพระอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกมนุษย์
แล้วลองถามตัวเองว่าพระสัญญาเหล่านั้นได้เกิดขึ้นจริงบ้างหรือยัง
ปฐมกาล
|
“เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์” ( |
2 ซามูเอล
|
“เมื่อวันของเจ้าครบแล้วและเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าเราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิดขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา
เราจะเป็นบิดาของเขาและเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย” ( |
สดุดี
|
“ข้าพเจ้าจะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า
พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า"เจ้าเป็นบุตรของเราวันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว
จงขอจากเราเถิดและเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้าตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า” (2:7,8
กิจการ “ขอท่านครอบครองจากทะเลถึงทะเลและจากแม่น้ำนั้นถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก..” (72:6-8) |
อิสยาห์
|
“ในยุคหลังจะเป็นดังนี้
คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระเจ้า จะถูกสถาปนาขึ้นให้สูงที่สุดในจำพวกภูเขาทั้งหลายและจะถูกยกขึ้นให้เหนือบรรดาเนินเขาและประชาชาติทั้งสิ้นจะหลั่งไหลเข้ามาหา..
เพราะว่าพระธรรมจะออกมาจากศิโยนและพระวจนะของพระเจ้าจะออกมาจากเยรูซาเล็ม..พระองค์ทรงวินิจฉัยระหว่างบรรดาประชาชาติ” (2:2-4) “เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นและสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุด
เหนือพระที่นั่งของดาวิดและเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ที่จะสถาปนาไว้และเชิดชูไว้ด้วยความยุติธรรมและด้วยความชอบธรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดรกาล” (9:7) |
เยเรมีย์ |
“พระเจ้าตรัสว่าดูเถิดวันเวลาจะมาถึงเมื่อเราจะเพาะอังกูรชอบธรรมให้ดาวิดและท่านจะทรงครอบครองเป็นกษัตริย์และกระทำกิจอย่างเฉลียวฉลาดและจะทรงประทานความยุติธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น
ในสมัยของท่านยูดาห์จะรอดได้และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่านคือ'พระเจ้าเป็นความชอบธรรม{หรือความรอดหรือการช่วยกู้}ของเรา” (23:5-6) |
พระอาณาจักรของพระเจ้า
พระเจ้าทรงสัญญาไว้หลายครั้งว่าจะทรงปกครองโลกนี้
สิ่งที่มนุษย์ทำไม่สำเร็จ พระองค์จะทรงกระทำให้เกิดมีขึ้น
กษัตริย์พระองค์นั้นจะเป็นลูกหลานของทั้งอับราฮัมและดาวิด (ดูมัทธิว 1:1) พระองค์จะทรงปกครองจากกรุงเยรูซาเล็ม
บนพระบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด (อ่านลูกา
กาลครั้งหนึ่ง
พระอาณาจักรของพระเจ้าเคยตั้งอยู่บนโลก
กษัตริย์ดาวิดและเชื้อสายของพระองค์ได้ทรงปกครองพระบัลลังก์แห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า
(1 พงศาวดาร 28:5)
พระบัลลังก์นั้นไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด
สิ่งที่พิเศษคือการเจิมแต่งตั้งของพระเจ้าให้คนเหล่านั้นมาเป็นกษัตริย์ปกครองต่างหาก
และเมื่อกษัตริย์พระองค์แล้วพระองค์เล่าละทิ้งกฏหมายของพระเจ้า
พระเจ้าจึงทรงให้สภาพการเป็นพระอาณาจักรนั้นยุติลงเสีย แต่แม้ในคราที่ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลประกาศถึงการล่มสลายของอาณาจักรของกษัตริย์เศเดคียาห์
(ใน
ดังนั้นเราจำเป็นต้องทำความเข้าใจการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ยังโลกนี้โดยอาศัยพื้นฐานทางประวัติสาสตร์ของอิสราเอลที่บรรจุอยู่ในพระธรรมเดิม
ประกอบเข้าไปเสียก่อน เมื่อพระเยซูทรงเริ่มออกเทศนาสั่งสอนประชาชนโดยประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว
(มาระโก
บัดนี้เราจึงสามารถมีสันติภาพร่วมกับพระเจ้าได้ผ่านการยกโทษบาปผิดของเรา
โดยอาศัยพันธกิจการช่วยให้รอดของพระเยซูเจ้า แต่ก่อนอื่น
เราจะต้องเข้าใจพระคัมภีร์เสียก่อน
รวมถึงคำสอนในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับพันธกิจของพระองค์และตัวของพระเยซูเจ้าเอง รวมทั้งพระอาณาจักรที่พระองค์จะทรงปกครอง
แล้วเราก็จะต้องรับบัพติศมาในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ ที่ช่วยให้รอดจากบาปได้
(อ่าน กิจการ
จงดูกษัตริย์ของเจ้าเถิด
!
แต่การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าจะเป็นอย่างไร
จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะพลาดจนไม่ได้เห็นการเสด็จกลับมากับตาเราเองและอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
เหตุการณ์นี้จะเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาเราหรือไม่ พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาด้วยพระองค์เป็นๆหรือมาในรูปของการปรากฏของพระวิญญาณ
และพระองค์จะมายังโลกเลยหรือเพียงแค่เสด็จมุ่งมาทางโลกขอเรา
พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์จากอุโมงค์นั้นทั้งพระกายด้วย
พระองค์มิใช่ พระองค์มิใช่วิญญาณที่เรามองไม่เห็น
แต่ทรงเป็นผู้ที่เรามองเห็นได้ เราสามารถพินิจดูพระองค์ได้และจับต้องพระองค์ด้วยมือ (1 ยอห์น 24, ลูกา 24:39, 40)
พระกายของพระองค์เต็มไปด้วยหลักฐานแห่งการทนทรมาน
แต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดของร่างกายมนุษย์อีกต่อไป
พระองค์สามารถเข้าออกได้เสมอแม้ประตูจะปิดลงกลอนสนิทและบนภูเขามะกอกพระองค์เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ทั้งพระกายเนื้อซึ่งตรงกันข้ามกับกฏของแรงโน้มถ่วงของโลกเลยทีเดียว
บรรดาสาวกเห็นพระองค์เสด็จไป ซึ่งพระองค์จะเสด็จกลับมาอย่างเดียวกับที่เสด็จไป
อย่างที่ทูตสวรรค์กล่าวว่า “ดูเถิดพระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆและนัยน์ตาทุกดวงและคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์..”
(วิวรณ์ 1:7) หรืออย่างที่เศคาริยาห์ผู้ประกาศในพระธรรมเดิมได้ทำนายไว้นานมาก
ก่อนการตรึงกางเขนพระเยซูว่า “เขาทั้งหลายมองดูเราผู้ซึ่งเขาเองได้แทงเขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่านเหมือนคนไว้ทุกข์..” (12:10)
คงไม่เกิดประโยชน์ที่จะกล่าวว่าเฉพาะคนที่มีศรัทธาเท่านั้นถึงจะเห็นพระองค์ได้
บางคนจะมอง เห็น และคร่ำครวญ (วิวรณ์ 1:7)
เช่นเดียวกัน
คงไม่เกิดประโยชน์อะไรถ้าจะกล่าวว่าพระเยซูจะเสด็จมาโดยที่เรามองด้วยตาไม่เห็น
เพราะพระองค์เองก็ทรงเตือนเราว่า
“ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า'แน่ะพระคริสต์อยู่ที่นี่'หรือ'อยู่ที่โน่น'อย่าได้เชื่อเลย..
ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น..”
(มัทธิว 24:23, 24)
การจะมาถกเถียงกันเรื่องการปรากฏของพระคริสต์ก็คงไม่เกิดประโยชน์
เพราะพระองค์จะมาอย่างที่เราไม่ทันรู้ตัว พระคัมภีร์ใหม่ยังกล่าวถึงการเปิดเผยของพระองค์เอง
โดยใช้คำที่หมายความว่าเปิดออกหรือเผยแสดง จริงๆแล้ว
การปรากฏพระองค์ของพระเยซูเจ้า (ในภาษากรีก : parousia) กลับกลายเป็นคำที่เหมาะสมยิ่งทีเดียว
หนึ่งในพจนานุกรมภาษากรีกที่น่าเชื่อถือที่สุดกล่าวถึงคำนี้ว่า
“คำนี้กลายเป็นคำที่ใช้เรียกการมาเยือนของบุคคลที่มีตำแหน่งสูง
โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์และพระจักรพรรดิผู้ที่เสด็จมาเยี่ยมเขตพื้นที่นั้นๆ” (Arndt
and Gingrich)
เหตุการณ์ที่พระคัมภีร์พยากรณ์ไว้ถือเป็นการเสด็จมาขององค์กษัตริย์โดยแท้
ฝูงชนที่มาเฝ้าพระเยซูผู้เป็นกษัตริย์เสด็จสู่กรุงเยรูซาเล็มบนหลังลาในครั้งนั้นมีมากมาย
พวกเขาได้โยนเสื้อคลุมและใบปาล์มไว้หน้าขบวนเสด็จของพระองค์
พวกเขาตะโกนร้องสรรเสริญพระองค์ซึ่งตรงกับพระสัญญาข้อหนึ่งของพระเจ้าที่ว่า “ความสุขสวัสดิมงคลจงมีแก่แผ่นดินของดาวิดบรรพบุรุษของเราที่จะมาตั้งอยู่โฮซันนาในที่สูงสุด” (มาระโก
ทีนี้หากว่าการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ยังมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จด้วยความยินดีมากมายเช่นนี้
ลองคิดดูว่าการเสด็จมาในครั้งที่สองนี้จะเป็นเช่นไร เศคาริยาห์ประกาศไว้ว่า
“ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอบุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย
จงโห่ร้อง ดูเถิดกษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความยุติธรรมและความรอดพระองค์… ท่านจะบัญชาสันติให้มีแก่ประชาชาติทั้งหลายอาณาจักรของท่านจะมีจากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้นและจากแม่น้ำนั้นไปถึงสุดปลายพิภพ.. ”
(เศคาริยาห์
9:9,10)
การทำให้คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ทั้งสองเล่มสำเร็จไป
พระคัมภีร์แสดงให้เห็นภาพคำทำนายที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง
นั่นคือ ลักษณะที่สัมพันธ์กันในระยะสั้นและในระยะยาว ชาวเยรูซาเล็มต่างยินดีกับการเสด็จมาของพระองค์อย่างกษัตริย์
“พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลาทรงลูกลา..” อย่างที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ แต่ความยินดีของพวกเขาเป็นความยินดีช่วงสั้นๆเพราะพระองค์มิได้เสด็จไปสถาปนาสันติภาพให้เกิดมีขึ้นในโลกหรือออกกฏจากกรุงเยรูซาเล็มเหนืออาณาจักรที่ตั้งอยู่เป็นนิรันดร์
พระเยซูทรงกระทำให้คำทำนายเป็นจริงได้มากพอที่จะเชื่อได้ว่าพระองค์คือผู้ที่จะเสด็จมานั้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเชื่อได้ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเพื่อทำให้โลกเป็นไปตามพระสัญญา
เศคาริยาห์ย่อการเสด็จมาทั้งสองครั้งให้ดูเหมือนว่าไม่มีช่วงว่างของเวลาระหว่างเหตุการณ์ทั้งสองเลย สิ่งนี้ทำให้หลายคนถกเถียงกันว่าพระอาณาจักรจะไม่มีวันมา
เพราะพวกเขาคิดว่า แม้แต่พระเยซูยังหวังจะให้พระอาณาจักรมาในศตวรรษที่ 1
หรือหลังจากนั้นไม่นานนัก ดังนั้นพระสัญญาข้อนี้จึงถูกมองข้ามไปในฐานะที่เป็นความหวังของคริสตชนยุคแรก
ซึ่งในปัจบันถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจที่เหนือกว่า แต่เมื่อมีการศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียด
ก็เป็นที่กระจ่างว่าการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์นั้นจะยังไม่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เสด็จกลับสู่สวรรค์
วันและชั่วโมงนั้น ความพยายามใดๆที่จะบอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงเข้าใจผิดเรื่องวันเวลาที่พระองค์เองจะเสด็จมานั้น
เห็นจะต้องล้มเหลว เพราะพระองค์ตรัสไว้มากกว่า 1
ครั้งว่าพระองค์เองก็ไม่ทราบกำหนดเวลานั้น
“แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีใครรู้ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้รู้แต่พระบิดาองค์เดียว”
(มัทธิว 24:36)
อย่างที่พระองค์ได้ตรัสในภายหลัง
กำหนดการนั้นเป็นสิ่งที่พระบิดาทรงถือเป็นสิทธิของพระองค์ที่จะเลือก (กิจการ 1:7)
แต่พระเยซูทรงทราบว่าเวลาจะผ่านไปนานทีเดียวก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง
พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเพื่อชี้ให้เห็นว่าการเสด็จกลับมานั้นจะไม่ใช่ การ “ปรากฏโดยพลัน” (ลูกา
เช่นเดียวกับพระอาจารย์ของพวกเขา
สาวกของพระองค์ควรต้องยินดี ที่พวกเขา “ไม่รู้ว่าชั่วโมงนั้น” จะมาถึงเมื่อไหร่
เหล่าอัครสาวกยังรู้ด้วยว่าพวกเขาไม่อาจบอกเวลาที่แน่นอนของเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาตั้งตารอได้
เปโตรเล่าถึงคนที่จะพูดจาเยาะเย้ยเสียดสีเรื่อง “พระสัญญาเรื่องการเสด็จกลับมา” นี้ (2
เปโตร3:4) ท่านได้ดูหมิ่นความไร้ศรัทธาของคนเหล่านั้น
หรือสิ่งที่ท่านเรียกว่า “การจงใจไม่ให้ความสำคัญ” คือ
คนทีเชื่อในสิ่งที่เขาอยากจะเชื่อ โดยไม่พิจารณาหลักฐานประกอบใดๆ และเปาโลเองก็ไม่สงสัยเลยเช่นกัน
เพราะท่านยังคงบันทึกต่อไปว่า
“ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้นไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมา” (1
เธสะโลนิกา 5:1-2)
คุณสามารถต่อข้อพระคัมภีร์ข้อข้างบนนั้นได้ไหม
เพราะมันกำความลับเรื่องสำคัญสองประการซึ่งเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาโดยไวของพระคริสต์
ให้สังเกตข้อพระธรรมด้านบนว่ากล่าวถึงอะไร นั่นคือ จะมีลางบอกเหตุ
หรือสิ่งที่เปาโลเรียกว่า “วันและเวลา”
ซึ่งจะช่วยเตรียมเหล่าผู้เชื่อให้พร้อมเสมอ ข้อพระธรรมข้างต้นยังมีต่ออีกว่า
“…วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน”
เมื่อถึงกำหนดนั้น
การเสด็จมาของพระองค์พระผู้เป็นเจ้าจะรวดเร็ว กระทันหันและเป็นไปอย่างไม่ทันรู้ตัว
ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเมื่อใดขโมยจะขึ้นบ้าน
ซึ่งหัวขโมยก็มักจะโจรกรมสำเร็จเพราะผู้คนมักจะมองข้ามอันตรายที่อาจมีมาถึง
นี่ก็เป็นเรื่องความเร็วซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การปล้นสำเร็จลุล่วง
และก็เป็นเหตุผลให้พระคริสต์ทรงใช้สิ่งนี้เป็นอุปมาสอนเรา ดังที่ปรากฏใน (มัทธิว
24:43) เปาโล( 1 เธสะโลนิกา 5:2)
และเปโตร (2 เปโตร3:10)
เพื่อย้ำเตือนถึงประเด็นสำคัญที่พระองค์ต้องการให้เราจดจำ เราต้องเตรียมพร้อมเสมอ
ไม่ละสายตาแม้แต่นาทีเดียว ต้องใส่ใจอย่างต่อเนื่อง
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะมาได้ทุกเวลา ! พระองค์จะเสด็จมาในเวลาที่เราไม่คาดหวังว่าจะเจอพระองค์
!
วันและเวลานั้น
นั่นคือเหตุผลที่ว่าเมื่อพระเยซูทรงอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมา
พระองค์ทรงเน้นเรื่องการเฝ้าระวังอย่างมาก
ในขณะที่นั่งอยู่กับบรรดาอัครสาวกบนภูเขามะกอกเทศที่ซึ่งพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ในกาลต่อมา
พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้รู้ถึงลางบอกเหตุที่จะมีขึ้นก่อน “การเสด็จกลับมาอีกครั้งและกาลอวสานของโลก”
(มัทธิว 24:3) คำทำนายนี้นำไปสู่การท้าทายที่น่าตื่นเต้น
เพราะมันรวมไว้ซึ่งคำทำนายระยะสั้นเกี่ยวกับการล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็มและการทำลายพระวิหารและการคาดคะเนระยะยาวถึงเหตุการณ์ระดับโลก
รายการเหตุการณ์ซึ่งถูกทำนายไว้ในหนังสือพระธรรมสามฉบับ
(มัทธิว 24, มาระโก13 และ
ลูกา 24) ซึ่งไม่ได้ถูกเรียงไว้ตามลำดับเวลาการทำนาย
กล่าวถึงเรื่องต่อไปนี้
1. ความรุ่งโรจน์ของศาสนาคริสต์เทียมเท็จและบรรดาผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพระคริสต์
2. การกดขี่ข่มเหงคริสตชนที่แท้จริง
3. สงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม
บรรดาประชาชาติต่อสู้กันเอง
4. แผ่นดินไหว
ความอดอยาก โรคระบาดร้ายแรง
5. กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมกรอบโดยกองทัพหลายกองทัพ
6. ชนชาติยิวกระจัดกระจายไปทั่ว
7. กรุงเยรูซาเล็มตกเป็นเมืองขึ้นของคนต่างชาติ
8. ความยากลำบากและความทุกข์ยาก
9.
ลางบอกเหตุต่างๆที่เกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์และดวงดาว
10. สิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน
ให้สังเกตว่าผู้เชื่อได้รับการเตือนเกี่ยวกับเรื่องความนิยมและการเติบโตของศาสนาคริสต์เทียมเท็จอย่างไรบ้าง
พระดำรัสของพระองค์เป็นจริงเมื่อเกิดมีความนิยมในคำสอนผิดๆอย่างแพร่หลายในยุคพันธสัญญาใหม่
(ตย. กิจการ
ปรปักษ์ของพระคริสต์
บรรดาอัครสาวกยังเตือนเราถึงเรื่องความเคลื่อนไหวนี้ด้วย
เปาโลเน้นเรื่องที่ว่าจะมีศาสนาคริสต์เทียมเท็จเกิดขึ้น
ท่านได้พยากรณ์ไว้ว่าในวันของพระองค์พระผู้เป็นเจ้า
“จะไม่มาถึงจนกว่าจะมีการทรยศเสียก่อน
และคนนอกกฏหมายนั้นจะประจักษ์แจ้ง คือลูกแห่งความพินาศ
ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระหรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น” (2 เธสะโลนิกา 2:3, 4)
อัครสาวกเปาโลบรรยายถึงคนแห่งความบาปนั้นโดยใช้ถ้อยคำที่อ้างถึงคำพูดของผู้พยากรณ์ดาเนียล
ซึ่งได้ทำนายถึง
การเกิดและการล่มสลายของอาณาจักรสี่แห่งที่เรืองอำนาจในเขตตะวันออกกลาง
ท่านได้เล่าถึงการก่อตัวของอาณาจักรเหล่านั้นไปสู่ระบบความเชื่อทางศาสนาอันเทียมเท็จ
รวมถึงอาณาจักโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และระบบการปกครองของพระสันตะปาปา
ซึ่งต่อต้านพระคริสต์และเหล่าผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างแท้จริง
นี่คือศาสนาคริสต์เทียมเท็จ อัครสาวกเปาโลเรียกมันว่า “ความลึกลับแห่งการอธรรม” ซึ่งกำลังลงมือทำงานของมันอยู่
และ “สิ่งลวงตาอันทรงพลัง”
อันตรายอื่นๆที่พระเยซูทรงเตือนว่าจะเกิดขึ้นมีมากมาย
จะมีสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม ทั้งภายในชาติและระหว่างชาติ
จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมายรวมถึงความยากแค้นทั่วไปหมดทุกถิ่น มีแผ่นดินไหว
ความอดอยากและโรคระบาดร้ายแรง ความสยองขวัญและภาพอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและทุกข์โศก
ผู้คนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปทางไหนเพราะกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในแง่หนึ่งปัญหานี้ก็มีมาเนิ่นนานพอๆกับอายุของมนุษยชาติ
แนวโน้มที่จะก่อสงครามกันนั้นค่อนข้างจะแน่ชัดแม้กระทั่งในหนังสือพระธรรมเล่มแรกของพระคัมภีร์ก็มียังบันทึกไว้
เช่นเดียวกับความอดอยาก แม้ว่าพระคัมภีร์จะบันทึกถึงความโหดร้ายของมนุษย์ไว้
แต่สิ่งที่เคยมีมานั้นก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้กับสิ่งที่คนสมัยนี้ทำ
อำนาจที่มนุษยชาติสมัยนี้มีนั้นสามารถทำให้คนปรกติกลับต้องรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คำที่พระเยซูตรัสไว้ดูจะเป็นจริงยิ่งกว่ายุคสมัยใด ๆ
“จะมีหมายสำคัญ...บนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น มนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัวและเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลกด้วยว่าบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก” (ลูกา
ความทุกข์ยากครั้งใหญ่
การกล่าวอ้างถึงท้องทะเลและคลื่นที่ม้วนตัวซัดเขาหาฝั่ง
ก็เหมือนหมายสำคัญที่เกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลาย อาจเป็นได้ทั้งการกล่าวในเชิงสัญลักษณ์หรือการกล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆ
หรืออาจเป็นอาจเป็นทั้งสองประการรวมกัน ผู้เผยวจนะอิสยาห์ได้เขียนเกี่ยวกับคนอธรรมไว้ว่า
เป็นเหมือน “ทะเลที่กำเริบเพราะมันนิ่งอยู่ไม่ได้และน้ำของมันก็กวนตมและเลนขึ้นมา” (57:20)
พระเยซูอาจทรงวาดมโนภาพเช่นนั้นเพื่อบรรยายถึงโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาเพราะในโลกนี้มีแต่ความชั่วร้ายเต็มไปหมด
พระองค์อาจกำลังสอนเราเรื่องการรบกวนความเป็นไปทางโลก เช่น คลื่นในทะเล
ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของยุคนี้ แน่นนอนว่าเได้กิดแผ่นดินไหวหลายครั้งหลายครารวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาในทั่วทุกมุมโลก
อัครสาวกเปาโลบรรยายถึงสังคมโลกว่าเป็น
“กำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ยากด้วยกัน” (โรม 8:22)
เช่นเดียวกับผู้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตร
นี่จึงเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าปัญหาต่างๆในยุคนี้คือความเจ็บปวดก่อนการอุบัติของยุคใหม่ซึ่งดีกว่า
ซึ่งคงจะมาถึงในไม่ช้า
ในพระธรรมทั้งสองภาคเราทราบว่าความยุ่งยากที่จะต้องเกิดขึ้นพร้อมการสิ้นสุดลงของการปกครองของมนุษย์นั้นคือลางบอกเหตุสุดท้ายของการเสด็จมาครั้งที่สอง
ดังนี้
“จะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น”
(ดาเนียล 12:1)
“เป็นเวลาทุกข์ใจของยาโคบ”
(เยเรมีย์ 30:7)
“ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง”
(มัทธิว 24:21)
เหล่าผู้เชื่อที่กำลังรอคอยพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาเสด็จกลับมาจะต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์นี้หรือว่าพวกเขาจะได้รับการยกเว้นกันแน่
ความเป็นไปได้ก็คือพวกเขาจะมีชีวิตอยู่จนผ่านพ้นยุคแห่งความทุกข์ลำบากนี้ไป
พวกเขาเริ่มเข้าสู่ยุคที่ว่านี้แล้ว
พระเยซูทรงสัญญาว่าเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ถูกเลือกไว้แล้วนั้น
วันเวลาแห่งความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่นี้จะสั้นลง (มาระโก
ในขณะที่ความทุกข์ยากลำบากนั้นจะเพิ่มขนาดขึ้นและพระเจ้าจะทรงเทพระพิโรธของพระองค์ลงเหนือโลกนี้
มีข้อบ่งชี้ว่าเหล่าผู้เชื่อที่แท้จะได้รับการปกป้องจากสิ่งเหล่านั้น
อิสยาห์บรรยายถึงการสั่นสะเทือนของสังคมมนุษย์เมื่อพระเจ้าทรงเข้าแสรงแทรงว่า
“มาเถิดชนชาติของข้าพเจ้าเอ๋ยจงเข้าในห้องของเจ้าและปิดประตูเสียจงซ่อนตัวเจ้าอยู่สักพักหนึ่งจนกว่าพระพิโรธจะผ่านไป
เพราะดูเถิดพระเจ้ากำลังเสด็จออกมาจากสถานที่ของพระองค์เพื่อลงโทษชาวแผ่นดินโลกเพราะความบาปผิดของเขาทั้งหลาย” (24:18-23, 26:20-21)
ดังนั้นเราจึงต้องใคร่ครวญให้ดีถึงสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสไว้
“เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มจะบังเกิดขึ้นนั้นท่านทั้งหลายจงยืดตัวและผงกศีรษะขึ้นด้วยการไถ่ท่านใกล้จะถึงแล้ว” (ลูกา
เราไม่ควรจะรอให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นก่อนจนหมดทางแก้
ทับเป็นการดีกว่าที่จะเรียนรู้บทเรียนนี้ตั้งแต่วันนี้ว่าบัดนี้เป็นช่วงเวลาก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว
ชนชาติแห่งหมายสำคัญ
มีหมายสำคัญยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งซึ่งจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยประการต่างๆอันเกี่ยวเนื่องด้วยการเสด็จมาให้กระจ่างขึ้น
ชนชาติอิสราเอลกลับมาปกครองดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
ประวัติศาสตร์ของชนชาติยิวเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่สำเร็จลงไปตลอดเวลาหลายสมัยที่ผ่านมา
พวกเขาได้รับการเรียกขานว่าคนกลุ่มพิเศษเพราะพระสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา
พวกเขาได้รับสิทธิให้เข้าครอบครองแผ่นดินที่เรารู้จักกันในชื่อของอิสราเอล
โดยมีข้อแม้ว่าพวกเขาต้องเชื่อฟังและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า พวกเขาคือกลุ่มคนซึ่งมีกษัตริย์หลายพระองค์ได้เสวยราชย์บนพระบัลลังก์แห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก
พวกเขาสูญเสียสิทธิ์เหล่านี้ไปเมื่อพวกเขาไม่แยแสที่จะรับพระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งมานานนับศตวรรษ
และยังร่มมือกับพวกโรมันประหารพระองค์ด้วยการตรึงกางเขน เพราะการปฏิเสธนั้น
กรุงเยรูซาเล็มจึงถูกตีแตก นับแต่นั้นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ
พวกยิวได้ท่องไปทั่วสารทิศเป็นชนชาติที่ไม่มีที่อยู่แน่นอน
เป็นที่ชิงชังและถูกกดขี่เกือบจะในทุกที่
ที่พวกเขาไปอาศัยอยู่
อย่างที่พระคัมภีร์ได้บรรยายไว้ไม่มีผิด
แต่พระคัมภีร์ยังพยากรณ์ถึงอนาคตที่จะมาถึงของชนชาติแห่งหมายสำคัญนี้ไว้ด้วย
มิใช่เพราะพวกเขาอาจจะเปลี่ยนทีท่ามาเป็นชนชาติที่ดีในสายพระเนตรพระเจ้า
แต่เพราะพระเจ้าทรงเวทนาสภาพอันเลวร้ายของพวกเขา จึงจะทรงไถ่พวกเขาเสียจากสภาพที่เป็นนั้น
พระองค์จะทรงรำลึกถึงพระสัญญาต่างๆที่ทรงทำไว้กับบรรดาบรรพบุรุษของคนเหล่านี้และทรงกระทำการช่วยกู้เพราะเห็นแก่พระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ในยุคสุดท้ายนั้น
พวกเขาจะถูกนำกลับมาจากชนชาติต่างๆและมาตั้งรกรากในแผ่นดินของตนเอง
อันเป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ! ดังเช่นที่ผู้เผยพระวจนะต่างๆได้กล่าวไว้
อิสยาห์
|
“ส่วนคนที่เหลืออยู่จะกลับมา..ผู้ที่รับการไถ่แล้วของพระเจ้าจะกลับและจะมายังศิโยน”( |
เยเรมีย์
|
“
ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา” (31:10) |
เอเสเคียล
|
“เราจะรวบรวมเจ้ามาจากชนชาติทั้งหลายและชุมนุมเจ้าจากประเทศ...เขาทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง…และเขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในที่นั้นอย่างปลอดภัย” ( |
เศคาริยาห์
|
“เราจะพาเขาทั้งหลายให้มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเยรูซาเล็ม” (8:8) |
แล้วเวลาก็ผ่านเลยไป
หลังจากเวลาเกือบสองพันปีของการกระจัดกระจายและตกต่ำ ในปี 1948 รัฐอิสราเอลก็ได้รับการสถาปนาขึ้นคำสั่งของสหประชาชาติและในปี
1967 ทั้งกรุงเยรูซาเล็มก็มีชาวยิวเข้ามาอาศัยครอบครองอยู่เต็มทั้งเมือง
กว่าที่พระคำของพระเยซูเจ้าจะสำเร็จเป็นจริงได้นั้นต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้เลยทีเดียว
“เขาจะล้มลงด้วยคมดาบและต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติและคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็มจนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน” (ลูกา
บัดนี้ทุกสิ่งได้ชี้ชัดแล้วว่า
เวลากำหนดของคนต่างชาติ ใกล้จะหมดลงแล้ว และเวลาแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะมาถึง
การมาถึงของภัยพิบัติต่างๆและการกลับมาสู่ดินแดนบ้านเกิดของพวกยิวช่วยคลี่คลายข้อสงสัยต่างๆไปจนหมด
ในไม่ช้าพระราชาเยซู จะเสด็จกลับมาสู่กรุงเยรูซาเล็มในฐานะของผู้ปกครองโลก
เพื่อปกครองอิสราเอลและชนชาติต่างๆ
ในบรรดาหมายสำคัญต่างๆที่พระเยซูรวมทั้งบรรดาผู้เผยพระวจนะต่างๆได้กล่าวถึง
การก่อตั้งประเทศอิสราเอล ชนชาติแห่งหมายสำคัญ
นับเป็นพยานที่ชัดเจนที่สุดที่บอกให้รู้ว่า กาลอวสานกำลังจะมาถึง
“ความยินดีปรีดาที่รออยู่”
แล้วสิ่งใดที่กำลังรอเหล่าผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อของพระเยซูอยู่
เขาจะกลับไปสวรรค์พร้อมกับพระเยซูเมื่อพระองค์เสด็จมาในครั้งหน้าหรือ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการณ์ซึ่งถูกเพิ่มเติมขึ้นโดยผู้อ่านพระคัมภีร์บางคน
กล่าวคือ ไมได้มีเพียงแค่การเสด็จมาครั้งเดียวแต่มีถึงสองครั้ง คือ
ครั้งแรกพระคริสต์จะเสด็จมาเพื่อคริสตจักรเท่านั้นและนี่จะเป็น “ความชื่นชมยินดี”
แบบลับๆ
แล้วพระองค์จะเสด็จมาอีกพร้อมคริสตจักรของพระองค์ เพื่อโลกจะได้เห็นกันแบบประจักษ์กับสายตา
ในบางทฤษฎี ช่วงเว้นว่างระหว่างการเสด็จมาทั้งสองครั้งนั้นสั้นมาก
ทฤษฎีอื่นๆกล่าวว่า 7 ปี
มีข้อความในพระคัมภีร์เพียงน้อยนิดที่อาจนำมาใช้สนับสนุนทฤษฎีเหล่านี้ได้
เพราะมีข้อบ่งชี้บางประการว่าจะมีการแบ่งแยกระหว่างเพื่อนเมื่อพระเยซูเสด็จมา
(ลูกา
“ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่งด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้าและคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน
หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้นและจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศอย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์” (
วลีที่ว่า
รับขึ้นไป เป็นต้นกำเนิดของความคิดเรื่องความยินดีปรีดาที่จะมาถึง
และเกี่ยวเนื่องถึงเรื่องความยากแค้น 7 ปีซึ่งตีความได้โดยอาศัยการแปลพระธรรมเล่มอื่นๆอย่างไม่เป็นที่น่าพึงพอใจนัก
โดยเฉพาะพระธรรมวิวรณ์ เป็นที่แน่ชัดว่าจะต้องมีการรับตัวบรรดาผู้เชื่อแท้ ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ตายไปแล้ว
“เพื่อไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ”
พวกเขาจะขึ้นไปร่วมขบวนต้อนรับพร้อมกับฑูตสวรรค์ทั้งหลายที่มากับขบวนเสด็จ
แต่นี่จะเป็นการที่พวกเขาไปพบพระองค์ ไม่ใช่พระองค์มาพบพวกเขา
และจุดหมายปลายทางของพวกเขาก็ระบุชัดไปแล้วในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าและบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์จะมุ่งไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
(เอเสเคียล 14:4) ซึ่งเป็น “ราชธานีของพระมหากษัตริย์”
(มัทธิว 5:35)
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา
!
ในช่วงอวสานแห่งระบอบการปกครองของมนุษย์
เหล่าดวงสว่างในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน จิตใจของผู้คนจะหวาดหวั่นด้วยความกลัว
ชนชาติต่างๆจะเข้าร่วมในสงครามรอบๆกรุงเยรูซาเล็ม แล้วพระเจ้าจะเสด็จมา ! อย่างไม่คาดฝันและรวดเร็วพระองค์เสด็จมาพร้อมฤทธาอันยิ่งใหญ่และพระรัศมีภาพ
จะทรงนำการทรงไถ่มาสู่ผู้ที่รอคอยด้วยใจซื่อสัตย์เสมอมา ในทางตรงกันข้าม
พระองค์จะทรงนำการตัดสินโทษมาสู่ผู้ที่จงใจละทิ้งพระสัญญาอันเที่ยงตรงและคำเชิญอันเปี่ยมด้วยพระกรุณาของพระองค์
“เมื่อพระเยซูเจ้าจะปรากฏองค์จากสวรรค์ในเปลวเพลิงพร้อมกับหมู่ฑูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์และจะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้าและแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูเจ้าของเรา
คนเหล่านั้นจะได้รับโทษ
อันเป็นความพินาศนิรันดร์และพรากจากพระพักตร์พระเป็นเจ้าและจากพระสิริแห่งอานุภาพของพระองค์” (2 เธสะโลนิกา1:9, 10)
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะต้องเชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์สัญญากับเรา
เราไม่อาจ “รอดูก่อนแล้วกัน”
เพราะพระเยซูกำลังเสด็จมาช่วยผู้ที่เชื่อแล้วให้รอด และจะไม่มาแจงเหตุผลแก่ผู้ที่รู้เรื่องข่าวประเสริฐอยู่แล้วแต่ไม่คิดที่จะเชื่อพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าตรัสถึงการเสด็จกลับมายังโลกแก่บรรดาสาวกของพระองค์
พระองค ์ทรงเน้นในเรื่องผลที่จะตามมาจากการเสด็จกลับมา มากกว่าในเรื่องที่ว่าเหตุการณ์ไหนจะเกิดก่อนหลัง
จนกระทั่งวันนี้
เราเองก็ยังไม่รู้ว่าพระเยซูจะเสด็จมาเมื่อใด แต่เรารู้แน่ว่าเมื่อพระองค์เสด็จมา
พระองค์จะทรงเรียกเรามาสะสางบัญชี และจะทรงถามเราว่าเราได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไรก่อนการเสด็จมา
“ระวังให้ดี…อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง…อย่าเป็นกังวล...จงระวังตัวให้ดี… ข่าวประเสริฐจะต้องประกาศ...อย่าตื่นตระหนกเลย...จงอดทนจนถึงที่สุด...จงหนี...จงอธิษฐาน...อย่าเชื่อผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ...ระวังให้ดี...จงยืดตัวและผงกศีรษะขึ้น...จงระวังตัวให้ดี..จงเฝ้า...จงพร้อมอยู่เสมอ” (มัทธิว
24 ,มาระโก 13 ; ลูกา 21)
อัครสาวกทุกท่านแสดงความเห็นอย่างเดียวกันในเรื่องในที่ว่าการเสด็จมานั้นใกล้เข้ามาแล้ว
“ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงาม...ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายมีใจสงบปราศจากมลทินและข้อตำหนิ..” (2 เปโตร 3:11-14)
“ละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหาและดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะสัตย์ซื่อสุจริตและตามคลอง
คอยความสุขซึ่งจะได้รับตามความหวังได้แก่การปรากฏของพระสิริของพระเจ้าใหญ่ยิ่งคือ{หรือและ}พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา.” (ทิตัส 2:12-13)
“เมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้นเราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น
และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์ดังที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์” (1ยอห์น 3:2, 3)
จงระวังตัวให้ดี
พระคัมภีร์คือหนังสือคู่มือสู่อนาคต
เช่นเดียวกับที่เป็นคู่มือสำหรับปัจจุบัน
มีเพียงหนังสือเล่มนี้เท่านั้นที่แสดงให้เราทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์
จากหนังสือเล่มนี้ เราสามารถเรียนรู้จักพระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์
สิ่งแรกคือต้องทำความเข้าใจและเชื่อในสิ่งที่เป็นจริง
แล้วเราจึงจะเห็นคุณค่าของการเชื่อฟังพระเจ้า โดยเริ่มที่การรับบัพติศมา ดังนี้
เราจึงจะทำตามที่พระเยซูทรงสั่งไว้
พระอาณาจักรของพระเจ้าที่จะมาถึงยังโลกนั้นจะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของมนุษย์
เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับพระผู้สร้างอย่างปรองดองกัน พระเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว ! จึงเป็นเรื่องด่วนที่เราจะต้องสำรวจชีวิตตัวเอง
เพื่อที่เราจะเตรียมพร้อมอย่างดีเมื่อพระราชาเสด็จมา
TECWYN
MORGAN
(เทควิน
มอร์แกน เขียน)
Thai Christadelphians